หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


ตุ๊กตา Atlantis อาณาจักรที่สาบสุญ


อาณาจักร แอตแลนติส (Atlantis) คืออาณาจักรเก่าแก่โบราณที่ได้อยู่ในความทรงจำของคนทั้งโลก ซึ่งผู้ที่สร้างตำนานอาณาจักรลึกลับนี้ คือ เพลโต นักปรัชญาชาวกรีกโบราณที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อแนวคิดตะวันตก กล่าวกันว่าอาณาจักรแอตแลนติส เป็นทวีป ๆ หนึ่งที่อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองผู้ทรงคุณธรรมและเทคโนโลยีที่สูงส่ง กำแพงเมืองเป็นทองคำและวิหารสร้างด้วยเงิน มีอุทยานหย่อนใจและสนามแข่งม้า ทว่ามันถูกทำลายพังพินาศด้วยความพิโรธของเทพเจ้าผู้เนรมิตรมันขึ้นมา ตุ๊กตา

ที่มาของเรื่องแอตแลนติส คือ ข้อเขียนในรูปของบทสนทนาสองเรื่อง โดยพลาโต ( Plato : 427 ก่อน ค.ศ. - 347 ก่อน ค.ศ.) เรื่องหนึ่งที่มีชื่อว่า Timaeus อีกเรื่องหนึ่ง ชื่อ Critias ซึ่งสำหรับวงการวิทยาศาสตร์โดยทั่วไป เชื่อว่า แอตแลนติส เป็นเรื่องเล่าในรูปของนิยายวิทยาศาสตร์ มิใช่เรื่องจริง แต่คนเป็นจำนวนมากก็เชื่อว่า อาจจะเป็นเรื่องจริง และได้มีความพยายามค้นหาแอตแลนติสกันเรื่อยมา โดยพยายามตีความหมายตำแหน่งของแอตแลนติสว่า อยู่ที่ไหนกันแน่ เพราะพลาโต ระบุว่า แอตแลนติสได้ล่มจมหายไปแล้วในทะเล อยู่ห่างจาก "Pillars of Hercules" ( เสาหินเฮอร์คิวลีส ) ออกไป ตุ๊กตาหมี


คำทำนายเกี่ยวกับอาณาจักรแอตแลนติส ที่เชื่อกันว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสมัยแรกของโลก
เอ็ดการ์ เคย์ซี ได้ทำนายพยากรณ์ไว้ตอนหนึ่งได้ว่า
เกมส์
...ทวีปแอตแลนติส เป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีขนาดใหญ่กว่ายุโรปทั้งหมด รวมกับแผ่นดินรัสเซีย มีดินแดนต่อทอดไปทั่วโลก     ชนชาติทีอาศัยอยู่บนทวีปแอตแลนติสเป็นชนชาติผิวแดงที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ ผู้คนทั่วไปมีประสิทธิภาพอย่างดียิ่ง มีความรู้ความสามารถในศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งปวง  รวมทั้งงานด้านประติมากรรม วิศวกรรมและสถาปัตยกรรมด้วย    โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นั้น  เคย์ซีได้บันทึกไว้เป็นคำพยากรณ์ในบทที่ 2794-L-1
โดยสรุปว่า ชาวแอตแลนติสมีความรู้ ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเคมี ฟิสิกส์ และจิตวิทยามาก พวกเขารู้จักประดิษฐ์ไฟฟ้าใช้  รู้จักผลิตพลังปรมาณูจากยูเรเนียม  รู้จักผลิตแสงเลเซอร์ ตลอดจนผลิต คลื่นวิทยุติดต่อกับดินแดนอื่นได้

สิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ  ชาวแอตแลนติสสามารถผลิตพลังงาน  มหาศาลจากพลึกมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถรวมเอาพลังธรรมชาติ   ทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกและจักรวาล  เข้าด้วยกัน และเป็นที่น่าสังเกตว่าความสำเร็จในทางวิทยาศาสตร์ของชาวแอตแลนติสนั้น อาศัยพลังงาน แสงอาทิตย์เป็นสำคัญ วัฒนธรรมสูงส่งของชาวแอตแลนติสพัฒนาตลอดมา โดยมีความเกี่ยวพันทางศาสนา เริ่มตั้งแต่มีการทำพิธีบูชาพระอาทิตย์และเทพเจ้า วัฒนธรรมของอาณาจักรแอตแลนติสหายสาปสูญไปในที่สุด เมื่อเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ดินแดนของมหาอาณาจักรเกิดสั่นสะเทือน และได้เกิดถล่มทลายลงไปสู่ภายใต้ท้องทะเลเพียงแค่ชั่วคืน  ชั่ววัน

ใต้ทะเล ภายใต้ในชั่วคืน กับชั่ววัน ดังน้นแปลว่าเมื่อ ปี 9500 ก่อนคริสต์กาล ชาติแอตแลนติสก็หายไปจากโฉมหน้าของโลก ตุ๊กตาหมี


เคย์ซีได้กล่าวว่า วัฏจักรแห่งประวัติศาสตร์โลก มักจะหมุนเวียน ย้อนกลับมาอีกเสมอ ดังนั้นวิญญาณของชาวแอตแลนติสย่อม
มีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีก จากดินแดนหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง และจากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่งหรือจากเกาะหนึ่งไปยังเกาะอื่น ๆมหาอาณาจักรแอตแลนติสมีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการเท่ากับโลกเราสมัยปัจจุบัน หรือบางอย่างมีความก้าวหน้า มากกว่า พวกเรารู้จักพัฒนา โดยนำเอาพลังงานอันมหาศาลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ในปัจจุบันเคย์ซีเชื่อว่า โลกเราได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วนที่ร้ายแรงที่สุดมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งอาจมีผลทำให้อาณานิคมหรือดินแดนบางส่วนของมหาอาณาจักรแอตแลนดิสโผล่ขึ้นมาให้ชาวโลกได้เห็นอีกก็เป็นได้ เช่น เมื่อปี 2483 เคย์ซีทำนายว่าพื้นที่บางส่วนทางด้านตะวันตกของแอตแลนติสจะโผล่ขึ้นมาใกล้ ๆบริเวณหมู่เกาะบาฮามาในช่วงระหว่าง พ.ศ.2511-2512 ปรากฏว่าคำทำนายของเคย์ซีได้กลายเป็นความจริงคือ ได้มีการค้นพบซากเมืองใต้บาดาลใกล้ ๆหมู่เกาะบาฮามา เรียงต่อกันอย่างประณีต ราวกับมีการใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรม และสถาปัตยกรรมชั้นสูง หินบางก้อนมีขนาดใหญ่ พอ ๆ กับขนาดรถบรรทุกเลยดีเดียว  ลำพังจะใช้กำลังคนช่วยกันแบกหาม ขึ้นไปวางเรียงต่อกันก็คงจะไม่ทำได้เรียบร้อยและปราณีตเช่นนั้น เคย์ซียังทำนายต่อไปอีกว่าภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้น จนทำให้มหาอาณาจักรแอตแลนติส อันกว้างใหญ่ไพศาลถล่มทลายพังพินาศจมหายไปใต้ทะเลนั้น จะเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในโลก

เคย์ซีกล่าวว่า ในช่วงแรกสุดของโลกเรา เมื่อประมาณ 10 ล้านห้าแสนปีมาแล้ว มีอารยธรรมเกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไปหลายครั้ง  ยุคเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมชาวแอตแลนติสอยู่ระหว่างช่วงนับจาก 200000 ลงมาจนถึงปี 10700 ก่อนคริสต์กาล คือนับตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 13000 ปี ถอยหลังเป็นต้นไปคือสรุปแล้ว จะมีอายุนานประมาณ 80000-900000 ปี ของขวัญ

นี่ก็เป็นเพียงคำพยากรณ์บางส่วน บางตอนของ เอ็ดการ์ เคย์ซี ที่ได้ทำนายอดีตของโลกเราย้อนหลังไปหลายแสนหลายล้านปี ซึ่งความเป็นจริงในสิ่งที่เขาพยากรณ์ไว้นั้นต้องรอคอยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ในโลกปัจจุบันพิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดในอนาคต

อาณาจักรที่ล่มสลายไปในอดีตกาล ที่ซึ่งนักสำรวจทั่วโลกต่างให้ความสำคัญในการค้นหา จาก บทบันทึกของเพลโตได้กล่าวถึงดินแดนแห่งนี้ไว้ว่า เป็นอาณาจักรที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองถึงขีดสุด แต่ได้ล่มสลายลง และถูกคลื่นยักษ์ กวาดกลืนจนไร้ร่องรอย

แอตแลนติส (Atlantis) เป็นเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในงานเขียนของเพลโตชื่อทีมาอุส (Timaeus) และ ครีติอัส (Critias) ซึ่งเป็นบทสนทนาเกี่ยวกับสิ่งที่บรรพบุรุษของเพลโตเล่าต่อกันมาว่า แอตแลนติสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะ ในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว ซึ่งได้พัฒนาอารยธรรม จนเจริญก้าวหน้าไปมาก ส่วนสาเหตุที่ทำให้ดินแดนแห่งนี้ล่มสลายนั้นมีทั้งจากภัยธรรมชาติหรือ จากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่าชาวเมืองแอตแลนติสมีความละโมบ และกระหายอำนาจ เทพเจ้า จึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองไปในที่สุด นอกจากนี้ยังมีผู้สงสัยว่า แอตแลนติสที่แท้จริงอาจเป็น เพียงแค่จินตนาการของเพลโตก็เป็นได้

แต่จากความรุ่งเรืองของอารยธรรมแห่งนี้ จึงเป็นมนเสน่ห์ดึงดูดให้ทั้งนักประวัติศาสตร์และนัก สำรวจพยายามค้นหาที่ตั้งของแอตแลนติส จากที่เพลโตได้เขียนไว้ว่า แอตแลนติสตั้งอยู่เลยเสา หินแห่งเฮอร์คิวลีส (Pillars of Hercules) ออกไป ซึ่งในปัจจุบัน คือ ช่องแคบยิบรอลตา (Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนติส จึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก โดยน่าจะเป็นหมู่เกาะ อะซอเรส (Azores) หรือ มาดีราส (Madeiras) หรือ คานารีส (Canaries) แต่การศึกษา ทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักรแอตแลนติส มาก่อน เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ผู้คนที่ยังมีความศรัทธาในเรื่องของอาณาจักรแอตแลนติส ก็ได้หันมาพิจารณาคำของเพลโต ที่ว่า พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส นั้นจริงๆ แล้ว เพลโตน่าจะหมาย ถึงช่องแคบ ดาร์ดาแนลเลส (Dardanelles) ของทะเลดำ (Black Sea) มากกว่าช่องแคบ ยิบรอลตา ดังนั้นการค้นหาแอตแลนติสจึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) แทน

โรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) นักวิจัยจากสหรัฐฯ ค้นพบว่าแอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ one,900 ปีก่อนคริตกาล จึง สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส โดยบริเวณนี้จมลึกลงไปถึง one ไมล์ใต้ ้ทะเลระหว่างไซปรัส (Cyprus) และซีเรีย (Syria) จากการสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึก แสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำ รวมถึงกำแพงที่ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย เชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหาร แห่งเมืองแอตแลนติส

แต่การค้นพบของซาร์แมสต์ ก็ถูกโต้แย้งโดย คริสเตียน ฮูบเชอร์ (Christian Huebscher) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ฮูบเชอร์กล่าวว่า พื้นที่ที่ซาร์แมสต์พบนั้นเป็นปรากฏการณ์เมื่อ 10,000 ปี ีที่แล้ว ที่ภูเขาไฟได้พ่นดินโคลนออกมา

ก่อนหน้านี้นั้น  ได้มีนักสำรวจได้พุ่งเป้าที่ชายฝั่งของประเทศสเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไม่เว้น แม้กระทั่งทะเลจีนใต้ โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้านี้คือ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณ อุทยานแห่งชาติดอนานาของสเปน (Donana) จากนักโบราณคดี มหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก (University Edinburgh) ของอังกฤษ ซึ่งภาพดังกล่าวได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รูปสี เหลี่ยม two หลังจมอยู่ในโคลนใต้ทะเล โดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ล้อมรอบ ทีมวิจัยในครั้งนั้นเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างทั้ง two คือ วิหารทองคำที่ชาวแอนแลนตีสสร้างขึ้น เพื่อบูชาเทพโพเซดอน และวิหารเงินเพื่อบูชาพระนางไคลโต อันเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ที่ปกครอง นครแอตแลนติส ซึ่งหลังที่ภาพถ่ายดาวเทียมได้ถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว พื้นที่ดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับ การขุดพิสูจน์แต่อย่างใด

แอตแลนติสจึงเป็นตำนานอันลี้ลับ ให้มนุษย์ได้ศึกษาค้นคว้ากันต่อไป


บทความแปลต่อไปนี้ จะเป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอาณาจักรแอตแลนติส ที่พระอียิปต์รูปหนึ่ง เล่าให้รัฐบุรุษกรีก ชื่อ โซลอน ( Solon ) ฟัง
ได้มีบันทึกเก่าแก่มากของเรา กล่าวไว้เรื่องราวในอดีตแสนไกลว่า เมืองของท่านสกัดการบุกของกองทัพอันเกรียงไกร จากเกาะแสนไกลในมหาสมุทรแอตแลนติกได้อย่างไร กองทัพยิ่งใหญ่ที่มุ่งมั่นโจมตียุโรปทั้งหมด และเอเชียด้วย เอาละ เกาะนี้เป็นเกาะใหญ่มาก ใหญ่กว่าแอฟริกา และเอเชีย รวมกัน - และตั้งอยู่ตรงข้ามกับช่องแคบระหว่างเสาหินของเฮอคิวลีส

เกาะแอตแลนติส ได้ถูกปกครองโดยตระกูลกษัตริย์ ที่ทรงอำนาจมาก ที่ปกครองมิใช่เพียงเกาะนี้ แต่เกาะอื่นๆ และบางส่วนของแผ่นดินใหญ่ด้วย ราชวงศ์กษัตริย์ ที่ปกครองแอฟริกาเหนือ ไกลออกไปถึงอียิปต์ และยุโรปใต้ไกลออกไปถึงอิตาลี
ตุ๊กตา
ราชวงศ์ผู้ปกครองแอตแลนติส ได้เป็นเชื้อสายของ มหาเทพโพซีคอน ที่ได้แบ่งดินแดนให้โอรสสิบองค์ปกครอง โอรสองค์โต เป็นกษัตริย์ของเกาะทั้งหมด เกาะที่มีชื่อเรียกว่าแอตแลนติส ส่วนมหาสมุทรยังเรียกเป็นแอตแลนติก เพราะว่ากษัตริย์พระองค์แรก ชื่อ แอตลาส ( Atlas ) โอรสองค์อื่นๆ ได้รับการจัดสรรดินแดนให้ปกครองทุกองค์ เชื้อสายของกษัตริย์แอตลาสเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก เป็นราช วงศ์ที่ร่ำรวย และทรงอำนาจอย่างที่ไม่เคยมีราชวงศ์ใดเคยทำได้มาก่อน หรือจะมีขึ้นอีก

ชาวแอตแลนติสนั้น ไม่เพียงแต่ได้สั่งสินค้าส่วนใหญ่จากภายนอก แต่พวกเขาเองก็ผลิตแทบจะทุกสิ่งได้ที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน โลหะแข็ง โลหะอ่อน และโลหะซึ่งเหลือแต่ชื่อ คือ โอริชาลคัม โลหะที่มีค่ามากที่สุด ยกเว้นทองคำ และแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้สีเขียวทุกหนแห่ง อากาศที่แสนวิเศษ ทำให้ผลไม้สุกปีละสองครั้ง ในแผ่นดินมีช้าง และสัตว์อื่นๆ มากมาย ทั้งสัตว์ป่า และสัตว์เลี้ยง นครบนเขากลางเกาะ มีเส้นผ่าศูนย์กลางสามพันฟุต และเป็นนครอันชวนพิศวง สะพานถูกสร้างข้ามช่องแคบทะเลโดยโพซีดอน คลองถูกขุดจากนครสู่ทะเล และป้อมปราการเคลือบด้วยตะกั่ว ทองเหลือง และโอริชาลคัมสีแดง

ณ ตำแหน่งใจกลางนคร คือ มหาราชวังและวิหารยิ่งใหญ่แห่งเทพโพซีดอน สถานศักดิ์สิทธิ์ ล้อมรอบด้วยกำแพงทอง ปกคลุมด้วยเงิน เด่นเป็นสง่าด้วยหอคอยทองคำเหนือหลังคางาช้าง ภายในวิหารมีอนุสาวรีย์ทองคำขององค์เทพ ขนาดใหญ่โตมโหฬาร จนกระทั่งสัมผัสหลังคาวิหาร

ลากด้วยม้าที่มีปีกหกตัว ถูกล้อมรอบด้วยเทพแห่งทะเล เป็นจำนวนร้อยขี่ปลาโลมา และที่ด้านนอกวิหาร มีอนุสาวรีย์ทองคำเจ้าชายแห่งแอตแลนติสทุกองค์พร้อมด้วยชายา

และในเกาะนี้ยังมีน้ำพุร้อนและน้ำพุเย็นเย็น สำหรับอาบ เป็นน้ำพุประดับ สวนสาธารณะและสวนผลไม้ มีที่สำหรับออกกำลังกายสำหรับบุรุษและม้า สนามม้าแข่งขนาดใหญ่ โรงทหาร ห้องคนเฝ้ายาม อู่เรือ ท่าเรือ เต็มไปด้วยเรือสิน ค้าและเรือทหาร

ที่ราบรอบบริเวณนครล้อมรอบด้วยภูเขามากมาย และคลองหลากหลายคลองลึกหนึ่งร้อยฟุต กว้างหกร้อยฟุต ทั้งหมดรวมกันแล้วยาวมากกว่าสามพันไมล์ แล้วกษัตริย์ทั้งสิบผู้ครองเกาะ ร่วมประชุมกัน ให้สัตย์ปฏิญาณต่อกันว่า จะช่วยเหลือกันเมื่อเผชิญกับสงคราม และพวกเขามีรถศึกหนึ่งหมื่นคัน กองทัพเรือ มีเรือมากกว่าหนึ่งพันลำ

เวลาผ่านไปหลายชั่วอายุสมัย ผู้คนแห่งเกาะเป็นพลเมืองผู้เคารพกฎหมาย กษัตริย์ของพวกเขาก็ปกครองอย่างชาญฉลาดและยุติธรรม ไม่ให้คุณค่าแก่ทรัพย์สมบัติ ยกย่องคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ส่วนที่ดีแห่งจิตวิญญาณของพวกเขาก็ลดน้อยถอยลงไป และในหัวใจมีแต่ความทะเยอทะยานอย่างไม่คำนึงถึงกฎหมาย คลั่งไคล้หลงไหลในอำนาจ

แล้ว ซูส มหากษัตริย์แห่งทวยเทพทั้งปวง ได้ตระหนักถึงความเสื่อมทรามที่กำลังเกิดกับชนชาวแอตแลนติส ตั้งพระทัยจะลงโทษพวกเขา เพื่อว่าพวกเขาจะได้มีสติขึ้นมาอีก ซูสจึงเรียกทวยเทพมาชุมนุมกัน

ดังนั้น ทำให้กองทัพแห่งอาณาจักรแอตแลนติสจึงรวมกำลังกัน มุ่งหวังที่จะพิชิตเฮลลาส และอียิปต์ และฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด และแล้ว มันก็เกิดขึ้น พระอียิปต์ปลอบใจโซลอน บุรุษแห่งเอเธนส์ได้แสดงออกถึงความกล้าหาญและความเก่งกล้าต่อโลก ในตอนแรก และในฐานะผู้นำของเฮลเลนส์ และแล้วก็ยืนอยู่อย่างเดียวดาย เมื่อถูกคนอื่น ๆ ผละหนีหาย หลังจากที่ได้เผชิญกับสุดยอดแห่งภยันตรายแล้ว เขาก็สามารถเอาชนะฝ่ายรุกรานได้ และสร้างอนุสรณ์สถานเอาไว้ รักษาความเป็นอิสระแก่คนจากความเป็นทาส และปลดปล่อยคนอื่น ๆ จากความเป็นทาส

แต่แล้วก็ได้เกิดมหันตภัยธรรมชาติต่างๆ แผ่นดินไหวและน้ำท่วมใหญ่ ทั้งวันและคืนที่โหดร้าย แผ่นดินแยกและกลืนกินชีวิตนักรบของเอเธนส์ทั้งหมด ในขณะที่เกาะยิ่งใหญ่แห่งแอตแลนติสก็จมหายไปในทะเล และมาถึงทุกวันนี้ น้ำมหาสมุทรที่ตำแหน่งนั้นก็ตื้นเขิน เรือผ่านไม่ได้ กลายเป็นสันดอนดินโคลน ซึ่งเกิดจากแผ่นดินเมื่อเกาะถล่ม

และนี่คือข้อมูลและตำนาน ที่ยังต้องคอยผู้ที่ค้นพบต่อไป...


เครดิ          http://www.tooktaall.com
อ้างถึง      http://www.gotoknow.org/blogs/posts/489538

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ตุ๊กตาเรือโนอาห์


ตุ๊กตา เรือของโน อาห์ อันศักดิ์สิทธิ์


   เรือโนอาห์ (Noah's Ark) ได้ถูกกล่าวถึงในพระธรรมปฐมกาลในบทที่ six ก่อนที่พระเจ้าจะทรงทำลายมนุษย์ด้วยการทำให้น้ำท่วมโลก พระองค์ทรงเห็นว่าโน อาห์เป็นคนชอบธรรม ดีพร้อมในสมัยนั้น และดำเนินกับพระเจ้า

  เหตุการณ์บันทึกของเรือโนอาห์ ยังคงมีการกล่าวถึงในในพระธรรมปฐมกาล พระคัมภีร์อัลกุรอาน ในศาสนาอิสลาม พระคัมภีร์ในศาสนายูดาย นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานเรื่องเล่าปรำปรานานาชาติ เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์น้ำท่วมโลกนี้ แตกต่างกันไปในแต่ละชนชาติ ตุ๊กตา

   พระเจ้าทรงให้โนอาห์ ประกอบเรือตามแบบที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ดังนี้

· วัสดุ ประกอบเรือ ไม้สนโกเฟอร์
· ความ ยาว three hundred ศอก
· ความ กว้าง 50 ศอก
· ความ สูง 30 ศอก
· จำนวน ชั้น 3 ชั้น พร้อมดาดฟ้าเรือ มีหลังคาสูง one ศอก
· ยาชันทั้ง ภายนอกภายใน

ได้มีการแบ่งเรือออกเป็นห้องๆ (ไม่ได้ระบุจำนวนห้อง)

โดยได้นำสิ่งที่จะบรรทุกในเรือ  พระเจ้าจึงทรงมีพระบัญชาให้โน อาห์นำสิ่งเหล่านี้ขึ้นไปบนเรือ คือมี

   โนอาห์ และครอบครัว โดยมีลูกชายของโนอาห์ 3 คน ได้แก่ เชม ฮาม และยาเฟท  และก็มีอาหารสำหรับโนอาห์ ครอบครัว และสำหรับสัตว์ที่พระเจ้าทรงกำหนด สัตว์ นก และสัตว์เลื้อยคลานชนิดละ one คู่ (ตัวผู้ one ตัว และตัวเมีย one ตัว) ตุ๊กตาหมี

   จากนั้นพระเจ้าทรงบันดาลให้ฝนตกหนัก forty วัน และเกิดน้ำท่วมแผ่นดินเป็นเวลา a hundred and fifty วัน จนผู้คนและสิ่งมีชีวิตทั่วโลกตายจนหมดสิ้น พระเจ้าจึงทรงกระทำให้น้ำลดลง ใช้เวลาอีก a hundred and fifty วัน แผ่นดินจึงแห้ง

   จนในที่สุดเรือโนอาห์นั้น ได้ไปค้างอยู่ ณ บนยอดเขา(อาจเป็นอารารัต) โนอาห์ และครอบครัวได้ลงจากเรือเมื่อน้ำแห้งดีแล้ว และใช้ชีวิตตามปกติต่อไป ในครั้งนั้น พระเจ้าทรงมอบรุ้งกินน้ำ เป็นพันธสัญญาว่า จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมโลกเพื่อทำลายล้างมนุษย์อีก ตุ๊กตาน่ารัก


   ครับ  และนี้คือตำนานขอเรือโนอาร์ หรือ เรือของโน อาร์
   ต่อไปมาดูรายงานการตามล่าหาเรือโนอาร์ที่หุบเขาอารารัตกันบ้าง

ปัจจัยสำคัญที่ขัดขวาง การค้นหา คือ เทือกเขาอารารัตเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา ตั้งในพรมแดนของประเทศตรุกี ซึ่งรัฐบาลตุรกีไม่อนุญาตการขึ้นไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ ตุ๊กตา

   อารารัตเป็นยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดกาล ตระหง่านชูยอดเทียบท้องฟ้าราวกับนกปากสีเงินที่งามสง่า ชาวพื้นเมืองบริเวณนั้นเรียกภูเขานี้ว่า อากรี ดากี หรือ อารี ดาอี อันหมายความว่า "ภูเขาแห่งความเจ็บปวด" ภูเขานี้ผุดขึ้นโดดเด่นจากลุ่มแม่น้ำอาราสทำให้เกิดเป็นภาพภูเขาหิมะตัดกับ ภูมิทัศน์รอบๆ ซึ่งเป็นผืนดินขรุขระเต็มไปด้วยฝุ่น แต่ทราบไหมครับว่า กิตติศัพท์ของภูเขาอารารัตนี้มิได้เกิดจากรูปทรงสมมาตร แนวลาดที่ดูเรียบ และเกร็ดหิมะขาวที่ปกคลุม หากชื่อเสียงของอารารัตมาจากพระคัมภีร์ที่พวกเราคุ้นเคยกัน คัมภีร์ไบเบิลครับ...

   ตามพระ คัมภีร์กล่าวไว้ว่า เมื่อน้ำท่วมโลกได้ลดลง ภูเขาอารารัตนั้นคือภูเขาลูกแรกที่ยอดโผล่พ้นผิวน้ำ และเป็นที่ๆเรืออาร์คของโนอาห์ได้ลงจอด ซึ่งอันที่จริงนะครับ อารารัตเป็นภูเขาที่มีสองยอดโดยมีระยะทางห่างกันประมาณ 11 กิโลเมตร ยอดทั้งสองที่ว่าประกอบด้วย ยอดเขาเกรต อารารัต สูง five,137 เมตร ซึ่งถือเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศตุรกี กับอีกยอดเขาหนึ่งคือ ลิตเติล อารารัต ซึ่งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 3,896 เมตร ยอดเขาทั้งคู่เดิมเป็นภูเขาไฟและประกอบด้วยเถ้าลาวาหลายชั้น แม้ปัจจุบันจะไม่ร่องรอยภูเขาไฟให้เห็นที่ยอดทั้งสอง แต่รายรอบตามลาดยังมีกรวยและรอยแยกอันเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟให้เห็น อยู่ ก้อนหินที่พื้นรอบๆเขาก็ยังมีร่องรอยของภูเขาไฟให้เห็นอยู่บ้าง  ตุ๊กตาหมี
   ภูเขาอารารัต เป็นภูเขาที่บริเวณส่วนใหญ่ไร้พืชพันธุ์ขึ้น และถึงจะมีหิมะปกคลุมแทบตลอดทั้งปีแต่ภูเขานี้ก็ขาดแคลนน้ำอย่างหนัก มีพืชตระกูลเบิร์ชบางต้นเท่านั้นที่ยังคงขึ้นอยู่ได้ ทว่าบริเวณช่วงกลางของลาดเขาที่สูงประมาณ one,500 - 3,000 เมตรนั้นยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่บ้าง ชาวไร่เคอร์ดิชสามารถเลี้ยงแกะได้บนทุ่งหญ้าบริเวณนี้ และในอดีตเคยมีสัตว์มากมายอาศัยอยู่ตามแนวรายรอบบริเวณ น่าเสียดายที่ปัจจุบันเราพบกันไม่กี่ชนิดเท่านั้น เคยมีบันทึกของนักการทูตอังกฤษสมัยศตวรรษที่ 19 รายงาน ว่า พบหมี เสือภูเขา และสิงโตอยู่ด้วย ในสมัยกลางดินแดนแถบนี้เล่าลือกันว่าเป็นที่อยู่อาศัยของมังกร รวมทั้งตำนานของหนอนน้ำแข็งพิสดาร ที่ลำพังด้วยตัวเล็กกระจิ๋วของมันกลับทำให้น้ำผลไม้ชามใหญ่กลายเป็นน้ำแข็ง ไปได้ ตุ๊กตาน่ารัีก

   เพราะตำนาน เหล่านี้ จึง'ทำให้นักไต่เขา และนักผจญภัยพากันหวั่นหวาดไม่อยากขึ้นมาบนเขาลูกนี้ นอกจากเรื่องเล่าลือแล้ว อันตรายอันเกิดจากอุบัติเหตุต่างๆเช่น หิมะถล่ม หมอกมืดอันปกคลุมอยู่ชั่วนาตาปี และภูมิอากาศที่มักเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ทำให้นักไต่เขาพากันเข็ดขยาดไม่อยากยุ่งกับภูเขาอารารัตมากนัก จนเมื่อกระทั่งปี ค.ศ.1829 เมื่อ Mr.โยฮัน ยาคอบ ฟอน ฟาโรท ศาสตราจารย์ชาวเยอรมันวัย thirty seven ปี ไต่ขึ้นยอดเขาจนสำเร็จหลังจากที่พยายามมาสามครั้ง เขาฉลองความสำเร็จโดยปักไม้กางเขนที่ยอดเขา และนับจากนั้นเป็นต้นมา สาวกนักพิชิตภูเขาก็แห่กันตามรอยของฟาโรท์เป็นการใหญ่ หนึ่งในนั้นคือ เจมส์ ไบรซ์ รัฐบุรุษผู้มีชื่อเสียงของอังกฤษ ซึ่งพิชิตยอดเขานี้สำเร็จในปี ค.ศ. 1876 ไบรซ์รู้สึกซาบซึ้งอย่างประหลาด เมื่อเขามองจากยอดเขาข้ามที่ราบอันปกคลุมไปด้วยฝุ่นไปยังดินแดนต่างๆที่เคย เป็นบรรดาอาณาจักรของ ซาร์ ชาห์ และสุลต่าน เขาปรารภไว้ในงานเขียนของเขาภายหลังว่า...

"ถ้า ณ ที่นี้เป็นที่แรกซึ่งมนุษย์ย่างเหยียบพื้นโลกอันปราศจากผู้คน เราก็คงจินตนาการได้ว่าการกระจายของมนุษย์นานาเผ่าพันธุ์จากยอดเขาอันศักดิ์ สิทธ์นี้จะยิ่งใหญ่เพียงใด ไม่มีที่แห่งใดจะเหมาะเป็นศูนย์กลางโลกมากกว่าที่แห่งนี้อีกแล้ว..."

   แต่ถึงอย่างไร  หลายคนก็คงอยากจะขึ้นภูเขาอารารัตนี้น่า เพราะว่าอยากให้รู้แน่ๆ ว่าเรือโนอาร์นั้นมีจริงหรือไม่

   กว่า a pair of ทศวรรษมาแล้ว ที่การค้นหาเรือโนอาห์ เป็นที่สนใจจากนานาชาติ นักสำรวจหลายชุด แถบเทือกเขา อารารัต ทางตะวันออกของตุรกี ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาวอเมริกัน   เรือโนอาห์ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล มีขนาดใหญ่ ทำด้วยไม้สนโกเฟอร์ ทำเป็นห้องๆ และยาชันทั้งข้างในและข้างนอก ยาว three hundred ศอก กว้าง 50 ศอก สูง 30 ศอก (ใช้หน่วย one Cubit = one เมตร) และมี 3 ชั้น มีประตูด้านข้าง (ปฐมกาล 6:14-16) เป็นที่รู้กันดี ตั้งแต่ก่อน ศตวรรษที่ 20 แล้วว่า มันมีขนาดใหญ่พอๆ กับเรือเดินสมุทรในปัจจุบัน


   พระ คัมภีร์กล่าวว่า ณ วันที่ seventeen ของเดือนที่ 7 ฝนก็หยุดตก และน้ำเริ่มลด นาวาก็ค้างอยู่บนเทือกเขาอารารัต (ปฐมกาล 8:4) ซึ่งเป็นแถบ อาณาจักร Urartu โบราณ แต่ไม่ได้ระบุยอดเขาโดยเฉพาะ หลังจากโนอาห์ และครอบครัว ออกจากเรือบนภูเขา เรือนั้นก็ไม่ได้ถูกกล่าวถึง ในพระคัมภีร์อีกเลย ผู้เขียนไบเบิ้ลคนต่อๆ มา ก็ไม่เคยพูดถึง และไม่ได้บอกว่า จะเห็นได้ที่ไหน   อารารัตในปัจจุบัน มีเทือกเขาแฝดสูง ที่น่าสนใจคือ มีรายงานจำนวนมาก ในประวัติศาสตร์ บอกว่าเรือขนาดใหญ่อยู่บนภูเขาแถบนี้   นักวิชาการปัจจุบัน หลายคนคิดว่า ยอดเขาอารารัตในตุรกี เป็นสถานที่ ที่น่าจะพบเรือโนอาห์มากกว่า เพราะอารารัตคือยอดเขา ที่สูงที่สุดในตุรกี ดังนั้นขณะน้ำลด ภูเขาลูกแรก ที่จะโผล่เหนือน้ำ ต้องเป็นภูเขา Ararat ที่มีหิมะปกคลุมตลอดปี และมีชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นว่า Aghri Dagh ซึ่ง แปลว่า ภูเขาแห่งความเจ็บปวด  ปัจจุบันอารารัตมียอด เขา a pair of ยอดคือ great Ararat ที่ สูง five,137 เมตร กับ little Ararat ที่สูง 3,896 เมตร และช่วงบนของยอดเขาทั้งสอง ขนาดซึ่งวัดโดยรอบได้ถึง forty กิโลเมตร ตุ๊กตา

   รายงาน กว่าศตวรรษ (100 ปี) จากผู้ซึ่งเคยพบเห็นเรือ ค้นพบชิ้นไม้ หรือได้ถ่ายรูปได้จากที่สูง มากมาย เป็นที่เชื่อกันว่า อย่างน้อย ชิ้นส่วนที่ใหญ่ๆ ของเรือ น่าจะยังมีอยู่ อาจไม่ได้อยู่ เทือกเขาสูงสุด แต่ที่ไหนซักแห่ง ซึ่งอยู่เหนือ ขึ้นไป ระดับหมื่นฟุต ภูเขานี้ปกคลุมด้วยหิมะ และน้ำแข็งตลอดทั้งปี มีเพียงช่วงฤดูร้อน ที่จะเข้าไปได้ บางคนก็เคยปีนและเดินขึ้นไป

   ในทศวรรษที่ eighty นักสำรวจเรือโนอาห์จำนวนไม่น้อย ได้เข้าร่วมโครงการนาซ่า กับ เจมส์ เออร์วินเป็นเรื่องครึกโครมมากจนสภาพโซเวียตต้องออกมาขัดขวางเพราะว่าว่าเทือกเขาอยู่ขอบชายแดน ตุรกี-โซเวียต พอเจมส์เสียชีวิตลง ก็มีการสำรวจครั้งใหม่ ของขวัญ


   และในทศวรรษที่ 90 และตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา แต่ยังไม่มีหลักฐาน แน่ชัดว่ามีคนพบเรือทั้งลำ   ใน ความพยายามค้นหาตำแหน่งของเรือ Noah ตลอดเวลาที่ ผ่านมา ได้มีการอ้างหลักฐาน การเห็นซากเรือ หลายครั้ง เช่น

   เมื่อในสมัย 700 ปีก่อนนี้ ในศควรรษที่14 หรือประมาณปี 1356 มีหนังสือชื่อ Travels of Sir John Mandeville ที่เล่าว่า มีนักบวชคนหนึ่ง เก็บเศษไม้ได้จากยอดเขา Ararat แต่ก็ไม่มีใคร ณ วันนี้รู้ว่า Sir John ในหนังสือนั้นคือใคร และมีตัวตนหรือไม่

   และเมื่อปี 1916 ความสนใจ เกี่ยวกับเรือ Noah ได้บังเกิดอีกเมื่อวารสาร The New Eden รายงานว่า นักบินชาวรัสเซียคนหนึ่ง ชื่อ Vladimir Roskovitsky ขณะบินสำรวจผ่านยอดเขา Ararat เขาได้เห็น ซากเรือขนาดใหญ่ บนเขาลูกนั้น แต่ก็ไม่มีการติดตามไปดู
   จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1917 แม่ทัพรัสเซีย ท่านหนึ่ง ได้ทำการส่งทหาร a hundred and fifty คน ขึ้นไปดูซากเรือ เพื่อนำรายงาน ไปบังคมทูล ให้จักรพรรดิซาร์ (Czar) ทรงทราบ แต่ได้เกิดรัฐประหาร คณะปฏิวัติ Bolshevik จึงได้ทำลายเอกสารรายงานหมด เพื่อไม่ให้ใคร เชื่อคัมภีร์ไบเบิลอีกต่อไป


   ในปี ค.ศ. 1955 Ferdinand Navarra นักผจญภัยชาวฝรั่งเศส กับลูกชาย ได้เดินทางขึ้นยอดเขา Ararat และได้นำ ไม้โอ๊กแผ่นหนึ่งกลับลงมา ในหนังสือชื่อ Noah's Ark: I Touched It เขาเล่าว่า เขาต้องหลบซ่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ของตุรกี เพื่อนำซากไม้ที่ยาว 2เมตรออกนอกประเทศ ถึงแม้หนังสือเล่มนั้น จะมีภาพของสองพ่อลูกบนภูเขา แต่ก็หามีภาพของเรือไม่ และเมื่อ Navarra ให้ผู้เชี่ยวชาญ ด้านอายุของวัตถุโบราณ วัดอายุของไม้เขา ได้ข้อสรุปว่า ไม้นั้นมีอายุตั้งแต่ 4,000-6,000 ปี ซึ่งก็ตรงกับคำสอน ในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า โลกถือกำเนิดเมื่อ six,008 ปีก่อนนี้ และเหตุการณ์น้ำท่วมโลก เกิดขึ้นเมื่อ five,000 ปีก่อนจริง

   ถึงแม้ ข้อสรุปเกี่ยวกับเรือจะยุติลงในมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ แต่ประเด็นเหตุการณ์ น้ำท่วมโลก ก็ยังมีบุคคลสนใจมากมาย เมื่อ ปี  2000 ในหนังสือชื่อ Noah's Flood : The New Scientific Discoveries concerning the Event That modified History. William Ryan แห่ง Lamont-Doherty Earth Observatory ที่ เมือง Palisades ใน the big apple สหรัฐอเมริกา ได้เสนอความเห็นว่า ในอดีตเมื่อ eight,000 ปีก่อนนี้ ได้เกิดเหตุการณ์ น้ำท่วมครั้งมโหฬาร ในบริเวณที่ราบรอบทะเลดำ ( Black Sea) ซึ่งอยู่ ระหว่างยุโรปกับเอเชีย และเป็นทะเลสาบ น้ำจืด น้ำทะเล ได้ไหลทะลักผ่านเข้ามา ทางช่องแคบ Bosphoues จนถึง ทะเลดำ ทำให้ระดับน้ำในทะเลสาบ เพิ่มสูงขึ้น a hundred เมตร ในเวลา 3ปี แต่ Ryan มิได้ระบุชัดว่า เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เกิดจากสาเหตุใด

   ใน วารสาร Paleoceanography ฉบับที่ 19 ปี  2004 Mark Siddall แห่งมหาวิทยาลัย Bern ในสวิตเซอร์แลนด์ กับคณะได้รายงานการใช้คอมพิวเตอร์ จำลองสถานการณ์น้ำท่วมในทะเลดำ และพบว่า เหตุการณ์น้ำท่วมโลก สามารถเกิดขึ้นได้ โดยคณะผู้วิจัย ได้สมมติว่าในอดีตเมื่อ ten,000 ปีก่อนนี้ ซึ่งเป็นเวลาที่โลก กำลังตกอยู่ใน ยุคน้ำแข็ง Holocene ทะเล Mediteranean ทะเล Marmara และทะเลดำมีแผ่นดินคั่นอยู่ ณ เวลานั้นระดับน้ำ ในทะเลดำ อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำในทะเล Marmara ประมาณ a hundred เมตร และเมื่อน้ำแข็งละลาย ระดับน้ำในทะเล เมดิเตอร์เรเนียน และทะเล Marmara ได้เพิ่มสูงขึ้นๆ จนกระทั่งเมื่อ eight,400 ปีก่อนนี้ น้ำจากทะเล Marmara ก็ได้ไหลข้ามพื้นแผ่นดิน ที่คั่นระหว่างทะเล Marmara กับทะเลดำเข้าสู่ทะเล ดำ


   ในการ ศึกษารายละเอียดของเหตุการณ์น้ำท่วมว่ารุนแรง หรือราบเรียบเพียงใด Siddall กับคณะได้กำหนด ให้กระแสน้ำท่วม มีความเร็วต่างๆ กัน แล้วศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นตามบริเวณขอบทะเลดำ และเขาก็ได้พบว่า ถ้ากระแสน้ำไหลช้าๆ แรง Coriolis ซึ่งเกิดจากการ หมุนรอบตัวเองของโลก จะทำให้น้ำไหลขึ้นทางเหนือ จะพุ่งเฉียงไปทางตะวันออก แต่ถ้ากระแสน้ำไหลเชี่ยว เพราะขณะนั้น ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวด้วย พลังไหลของน้ำจะมหาศาล จนมันสามารถไหล ได้ทุกทิศทาง ปริมาณน้ำที่มากถึง sixty,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที เท่ากับ 20 เท่า ของน้ำตก Niagara จะไหลพุ่งเข้าทะเลดำ เป็นเวลานาน 33 ปี จนระดับน้ำในทะเล Marmara และทะเลดำเท่ากัน น้ำจึงหยุดท่วม

  ในปี ค.ศ. 1987 Mr.Ron Wyatt  นักสำรวจโบราณคดี พบว่าบนเทือกเขา มีรอยของเรือขนาดใหญ่ ในเขตของตุรกี นักข่าวได้ประโคมข่าวใหญ่ในประเทศ รัฐบาลได้ขอให้รอนแสกนภาพจากเรดาห์ และพบร่องรอย ที่เป็นหลักฐาน มากมาย แต่แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ในช่วงปี 1840 และระยะ เวลาที่ยาวนาน ได้กระจายชิ้นส่วนของเรือ ออกไปแล้ว เป็น 3ชิ้นเป็นอย่างน้อย หรืออาจมากกว่า 6ชิ้น แต่มีการอัศจรรย์ ที่ยังคงรักษาบางชิ้นส่วนเอาไว้ได้ โดยการค้นพบ จากภาพถ่ายจากดาวเทียม ทำให้สามารถ พบเศษไม้ ที่กลายเป็นหิน ได้จำนวนหนึ่ง การค้นคว้านี้ ยังคงดำเนินต่อไป แม้จะยังไม่มีคนใด ที่ได้เห็นเรือทั้งลำหลงเหลือในปัจจุบัน


เครดิต          http://www.tooktaall.com
อ้างถึง         http://www.gotoknow.org/blogs/posts/489299

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ตุ๊กตาขนแกะทองคำ


ตำนานขนแกะทองคำ (Golden Fleece) ตุ๊กตา



นี้คือ เรื่องราวที่โด่งดังและเป็นมหากาฬย์ยิ่งใหญ่ที่เราต่างรู้จัก และมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร แม้รายละเอียดจะแตกต่างกันบ้างแล้วแต่ละเจ้า แต่แกนเรื่องก็คือของที่ตามหาคือสิ่งเดียวเท่านั้นคือ “ขนแกะทองคำ”
ตุ๊กตา
ตำนานเจสัน และลูกเรืออาร์โก นั้น เป็นตำนานคลาสสิกที่เกี่ยวข้องกับการผจญภัย ของวีรบุรุษ ครับ เหมือนกับ มิชชั่น อิมพอสซิเบิล ฉบับโบราณเลยนะครับ มันมีองค์ประกอบทุกอย่างของเทพนิยาย วีรบุรุษ และเจ้าหญิง เวทมนต์ และมังกร รวมไปถึง โศกนาฏกรรม  ตุ๊กตาหมี

แต่มันก็จะมีปัญหาจนได้ที่ว่าการผจญภัยครั้งที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้มันเกิดขึ้นจริงๆ หรือทุกวันนี้ นักโบราณคดีเริ่มหันมาสนใจตำนานมหากาฬย์โบราณอย่างจริงจังๆ นับตั้งแต่มีการค้นพบซากเมืองทรอยโดย ไฮน์ริช ชไลมันน์ บนชายฝั่งตุรกี ทำให้โลกได้รู้ว่าตำนานมหากาพย์กรีกมีหลายเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ใช้เรื่องโม้แต่อย่างใด จนเป็นเหตุให้มีนักโบราณคดีหลายคนพยายามแกะรอยตำนานขนแกะทองคำบ้าง  ตุ๊กตาน่ารัก

ในตำนานบันทึกไว้ว่าณ เมื่องท่าชื่อไอโอคุส(Iochus)ของกรีกโบราณแคว้นเทสซาลีในปัจจุบัน กษัตริย์ เพเลอัส ลุงที่ชั่วร้ายของเจสัน ได้ยึดบัลลังค์และขับไล่กษัตริย์ ไอโอคัส ซึ่งเป็นพ่อของเจสัน เพื่อความปลอดภัย เพเลอัสคิดจะฆ่าเจสัน แต่ว่าเจสันหนีรอดไปได้

สำหรับเจสัน... เขาได้เติบโตขึ้นมาที่เทือกเขาเพลิออน ที่อยู่ตอนกลางของกรีก โดยมีเซนทอร์  ชื่อไครอน เป็นอาจารย์ และเลี้ยงดูเจสัน จนเติบใหญ่พอที่จะทวงบัลลังก์

เมื่อเจสันอายุ twenty ปีบริบูรณ์ เขาออกจากเขาเพลิออน เพื่ออ้างสิทธิ์ของเขา ก็คือ อาณาจักรของพ่อเขา ระหว่างทางนั้นเขาเสียรองเท้าไป ตอนช่วยหญิงชราข้ามแม่น้ำ ซึ่งแท้จริงก็คือ เทพี ฮีรา เทพอุปถัมภ์ของเขาเองที่ปลอมตัวมา(บางแห่งคืออาเธน่า) จากนั้น เจสัน ก็มุ่งหน้าไปยังที่ราบ ไอโอคัส เพื่อไปยังวังของลุง

ถึงแม้เพลิอัส จะสามารถช่วงชิงบัลลัง แห่งไอโอคัสมาได้ แต่ก็ทรงรู้สึกไม่สบายใจ มีคำพยากรณ์จากวิหารเดลฟีว่า ให้ระวังคนแปลกหน้าที่ใส่รองเท้าข้างเดียว เมื่อเจสันมาถึง และอ้างสิทธิ์บัลลังอย่างกล้าหาญ เขาก็หวาดกลัวมาก กฎศักดิสิทธิ์ แห่งการเป็นเจ้าบ้านทำให้ เขาทำร้ายเจสันตรง ๆ ไม่ได้ แต่เพลิอัสนั้นเจ้าเลห์ เขาเลยพูดกับเจสันว่า "บอกข้าสิเจ้าหนุ่ม ถ้าเจ้าเห็นข้า และต้องเผชิญหน้ากับคนที่มาทวงบัลลังก์ เจ้าจะทำอย่างไร" เจสันตอบว่า "ข้าจะส่งเขาไปทำงานที่ไม่มีใครทำได้นอกจากเทพเจ้า" เพลิอัสก็ตอบไปว่า "ดีมากงั้นถ้าเจ้าอยากได้มงกุฎข้าเจ้าจะต้องไปเอาขนแกะทองคำมาให้ข้าก่อน"

ซึ่งขนแกะทองคำนี้มีที่จริงๆแล้วมาครับ มันมาจากของขวัญจากมหาจอมเทพซุสครับ แกะตัวนั้นได้บินไปทางตะวันออก ดินแดนซึ่งพระอาทิตย์ขึ้น ที่นั่น กษัตริย์ซึ่งเป็นบุตรของสุริยเทพ ได้บูชายันแกะนั้น และแขวนขนแกะไว้บนต้นไม้ศักดิสิทธิ์ และมีมังกรคอยเฝ้า เป็นดินแดนมหัศจรรย์ที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดไปเห็นมาก่อน


ด้วยความคะนอง ร้อนวิชา เจสันตอบรับคำท้าทันที เขาออกค้นหาขนแกะโดยมีเรือใหญ่ชื่อเรืออาร์โก(Argo)และเพื่อนร่วมเดินทางหลายคน ไม่ว่าจะเป็นเฮอคิวลีส ทเซอุส หรือ ออร์พิอุส แต่ละคนเป็นมนุษย์กึ่งเทพทั้งสิ้น โดยลูกเรือของเจสันมีทั้งสิ้น fifty คน

การเดินทางเจสันเพื่อ ตามหาขนแกะทองคำนั้นไม่ได้โรยด้วยกรีบกุหลาบแน่นอน เพราะระหว่างการเดินทางเจสันและเพื่อนต่างประสบภยันอันตรายต่างๆ นาๆ ไม่ว่าจะเป็น

? ที่เกาะเลมนอสที่ต้องเผชิญกับนักรบหญิง
? โพไซดอน เทพแห่งท้องทะเล
? เรือ ฝ่ากระแสน้ำที่รุนแรง ซึ่งไหลออกมาจากมหาสมุทรที่ยิ่งใหญ่ ผ่านช่องแคบบอสฟอรัส
? ผ่าน ช่องแคบบอสฟอรัส ไปเจอเกาะลอยซึ่งมีหน้าผาหินกระทบกัน มันจะบดเรือทุกลำที่ผ่านเข้าไป
? สัตว์ ประหลาดในตำนานต่างๆ
? พบแม่มดมีเดียที่เจสันสัญญาว่าจะแต่งงานด้วยกัน

และแล้วเจสันก็มาถึงที่หมายคือเมืองโคสซิส ที่นั้นเองที่กษตริย์เออิเตส(Aeetes)ที่ เป็นเจ้าของขนแกะทองคำก็เอาบททดสอบต่างๆ ให้เจสันทำ แต่ด้วยความเก่งของเจสันบวกกับความฉลาดของมีเดียก็ได้ขนแกะทองคำมาอยู่ในมือ จนได้

คุณอาจคิดว่าตำนานจะจบลงตรงนั้นครับ เจสันและมีเดียกลับไปที่กรีก และสาบานว่าจะรักกัน และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป แต่ตำนานกรีกไม่ใช่แบบนั้นครับ

เมื่อเจสันได้นำเอาขนแกะทองคำเดินทางกลับเมืองไอโอคัสพร้อมมิเดีย กษัตริย์ลุงที่ชั่วร้ายแปลกใจที่ได้เห็นเจสัน มีเดียได้ใช้เวทมนต์ ล่อลวงลูกสาวว่าพวกเธอจะชุบชีวิตพวกเขา สับร่างและนำไปต้มในหม้อใหญ่ กษัตริย์ลุจึงได้ตาย และเจสันก็ได้เป็นกษัตริย์ตามคำทำนาย พวกเขามีความสุขระยะหนึ่ง มีเดียมีลูกชายสามคน แต่ประชาชนในเมืองกลัวมีเดียและเวทมนต์ของเธอ ในที่สุด พวกเขาเนรเทศเจสันและครอบครัวให้ออกจากเมืองไปแล้วลงทางใต้ที่เมืองคอริน

ที่คอรินนี่เองที่เจสันได้เป็นผู้ที่มีชื่อเสียง จนได้เป็นกษัตริย์ เขาได้รับการเสนอเจ้าหญิงแสนสวยคนหนึ่ง ให้เป็นภรรยา เขารับ และผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับมีเดีย แน่นอนครับมีเดียไม่ใช่ตัวละครธรรมดาเท่านั้น เธอมีเทพเจ้าและมนุษย์เป็นบรรพบุรุษอีกด้วย เพื่อที่จะแก้แค้นในสิ่งที่สามีของเธอได้ทำเอาไว้เธอได้สังหารลูก ๆ ของเจสันทิ้ง

สำหรับเจสันแล้ว เรื่องของเขาจบลงเหมือนกับตอนที่เริ่มต้นนั่นแหละครับ เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวกับรองเท้าเพียงข้างเดียว เขาเดินทางกลับไปที่ไอโอคัสด้วยสิ่งทำให้เขามีชื่อเสียงขึ้นมา เรือลำเก่าของเขาครับ เรืออาร์โก เรือเก่าของเขาลำนี้ตั้งอยู่ที่ชายฝั่ง
ขณะที่เขานั่งร้องไห้อยู่ในเงามืดเพียงผุ้เดียวครับ คานวิเศษและหัวเรือที่พูดได้นั้น ได้หักลงมาทับเขาจนเสียชีวิตลงไป เทพเจ้าสร้างเขาขึ้นมา และเทพเจ้าก็ได้ทำลายชีวิตของเขาในทีสุด ครับ

นักศึกษาโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ต่างๆไม่เชื่อหรอกครับ ว่ามนุษย์เทพอย่างเฮฮคิวลิสมีจริง หรือมีอสูรตาเดียวเดินไปเดินทางในประวัติศาสตร์หรอกนะครับ แต่เขาเชื่อเว่าเรื่องราวนี้น่าจะเป็นการเดินทางในดินแดนที่ไม่รู้จักเสีย มากกว่า

อย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่า  มีผู้บันทึกการค้นหาขนแกะทองคำเอาไว้นับร้อย สำนวน แต่ที่เก่าแก่ที่สุดเขียนก่อนใครก็ราว 2500 ปีก่อนโดยกวีชื่อ พินดาร์(Pindar) ในขณะที่ฉบับที่ อโพโลนิอุส แห่งเกาะโรดส์(Apollonius of Rhodes) เป็นผู้รจนา ในอีก 2 hundred ปีให้หลังกลับเป็นที่ยอมรับกันกว้างขวางที่สุด จากเนื้อความในตำนานนี้ นักภูมิศาสตร์ได้พยายามเทียบคียงลักษณะภูมิประเทศ และชื่อสถานที่ปรากฏ เพื่อค้นหาเส้นทางการผจญภัยของเจสันและเพื่อน ในขณะที่นักโบราณคดีก็เฝ้าตามรอยซากอาคารโบราณที่อาจเป็นสิ่งที่ย้ำถึงการมา เยือนของเจสันและผองเพื่อน รวมทั้งเครื่องประดับและโบราณวัตถุอื่นๆ ที่มีเอกลักษณ์ของกรีกในดินแดนอันไกลพ้น

ถึงบัด นี้ มีผู้รู้ออกมาเสนอข้อสันนิษฐานเรื่องเส้นทางการผจญภัยของเจสันกันนับไม่ถ้วน บางคนบอกว่าเจสันบอกว่าเจสันเดินทางไกลมาถึงทวีปอเมริกา โดยข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ผ่านทางช่องแคบยิบรอลตาร์ สู่เกาะคิวบาและไฮติ ก่อนจะเข้าล่องลงใต้ผ่านแม่น้ำอเมซอน สู่อาร์เจนตินาแล้วล่องผ่านแม่น้ำปารามาสู่ทะเลสาบติติกากาสู่แหล่งอารยธรรม ของพวกอินคาแถบนครลึกลับมาชูปิกชู

สิ่งนี้อาจจะเป็นเส้นทางที่เดินทางที่ไกลเกินจริงสักหน่อย แต่ทฤษฏีนี้มาจากเฮนเรียต เมิร์ทซ์ (Henriette Mertz) ผู้เสนอข้อสันนิษฐานนี้อ้างว่า เรื่องหินลอยน้ำที่สามารถเลื่อนที่ประกบกันที่คอยทำลายเรือที่ผ่านมานั้น เป็นเรื่องจริง โดยมันปรากฏในบันทึกปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นในเกาะไฮติและคิวบา เนื่องจากระดับน้ำของช่องแคบระหว่างสองเกาะจะขึ้นลงได้คราวละมากๆ ดังนั้น หากมีเรือล่องผ่านช่องแคบในคราวน้ำลงก็อาจต้องติดคาแนวหินโสโครกและนักเดิน เรือที่รู้จักปรากฏการณ์นี้จะรอคอยให้น้ำหนุนสูงจนปลอดภัยสำหรับการเดินเรือ

ถึงแม้ว่าเฮนเรียต เมิร์ทซ์ จะอ้างถึงการค้นพบของเขาอย่างแข็งขัน แต่ทว่าคนส่วนมากเห็นว่าการเดินทางข้ามหมาสมุทรแอตแลนติกนั้นดูจะเหลือเชื่อ มากไป มันเป็นไปได้เหรอที่เรือไม้ที่ต่อขึ้นจะสามารถข้ามมหาสมุทรที่ก้าวใหญ่นี้ ได้และสามารถผ่านพ้นต้านทานคลื่นลมรุนแรงของมหาสมุทรใหญ่ได้


ซึ่งกระนั้นทฤษฏีหนึ่งที่หลากหลายฝ่ายเชื่อมากที่สุดก็คือ เส้นทางเดินเรือที่เจสันและพรรคพวกเดินทางนั้นคือแถบยุโรปนี่เอง โดยเห็นว่าเมืองท่าโคลซิสที่เป็นเมืองท่าที่เป็นเป้าหมายในการค้นหาขนแกะ ทองคำน่าจะอยู่แถวๆ ทะเลดำซึ่งอยู่ถัดขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลเมดิเตอเรเนียมนี่เอง ผู้สนับสนุนทฤษฎีนี้มีข้อพิสูจน์หลายอย่าง โดยเรื่องหินลอยน้ำนั้นแท้จริงคือเนินเขาบนช่องแคบดาร์ดาเมล ซึ่งเชื่อมทะเลเมดิเตอเรเนียมเข้ากับทะเลดำนี่เองและเมืองไอโอคุส บ้านเกิดของเจสันก็อยู่ห่างจากช่องแคบนี้เพียงไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น ที่สำคัญยิ่งกว่า คือตำนานขนแกะทองคำ นักประพันธ์อโพโลนิอุสเรียกทะเลที่เป็นที่ตั้งเมืองท่าโคลซิลว่า ทะเลยูซิน(Euxine sea) หรือขอบสุดที่ทะเลมาบรรจบกัน อันเป็นชื่อโบราณที่ชาวกรีกใช้เรียกทะเลดำฟากตะวันออก ในส่วนใกล้สาธารณรัฐจอร์เจียมาช้านานแล้ว แถมหลักฐานทางโบราณคดีและบันทึกประวัติศาสตร์ฉบับอื่นๆ ก็ยืนยันว่าช่วงที่อารยธรรมของชาวกรีกเริ่มขยายตัวนั้น ได้มีนครรัฐกรีกขยายอำนาจเข้ามายังบริเวณอยู่ในแถบนี้มาตั้งแต่ 2700 ปีก่อนแล้ว

นอกจากนี้การที่เนื้อเรื่องทำการกล่าวถึงการค้นหาขนแกะทองคำ ซึ่งความจริงแล้วชาวกรีกไม่ชอบใช้ทองคำเพื่อนำมาใช้ทำเครื่องประดับซับซ้อน หรอกครับ บางทีขนแกะทองคำในเรื่องอาจหมายถึงเทคโนโลยีการเรียนรู้วิธีการทำเครื่อง ประดับทองคำแล้วนำกลับมาใช้ในกรีกก็เป็นได้

 แม้เมืองท่าโคสซิสจะได้เป็นที่ยอมรับในระดับหนึ่งแล้ว แต่ปริศนาเส้นทางการเดินเรือจากโคสซิสกลับสู่บ้านเกิดไอโอคุสยังไม่สิ้นสุด เนื่องจากเนื้อความกวีอโพโลนิอุสแห่งเกาะโรดส์ กล่าวถึงการล่องตามแม่น้ำสายใหญ่ที่ชื่ออิสทรัส(Istrus) ทางเหนือของทะเลดำซึ่งน่าจะเป็นแม่น้ำดานูบที่ชาวกรีกรู้จักกันดี ก่อนจะเดินทางสู่ทะเลเดรียติกลัดเลาะออกไปที่แม่น้ำโคดานุส(Rhodanus) ซึ่งถอดเสียงแล้วอาจเป็นแม่น้ำโรนในฝรั่งเศส เมื่อถึงทะเลเมดิเตอเรเนียม เจสันและคณะคงนำเรืออาร์โกลงใต้ผ่านช่องแคบทางใต้ของอิตาลีกับเกาะชิลีแล้ว จึงมุ่งสู่ตะวันออกก่อนจะกลับถึงบ้านที่เมืองไอโอคุสเพื่อครองบัลลังก์ของพระบิดา

เส้นทางที่สองนี้เกิดจากการตีความหมายตามชื่อสถานที่ที่กล่าวถึงใน เรื่องมากที่สุด แต่ก็ยังสงสัยอีกว่า เจ้าเจสันนี้มันจะเดินทางลัดเลาะชมภูมิประเทศในยุโรปมากขนาดนี้เลยเหรอที่ สำคัญมาช่วงก็มีภูเขาสูงใหญ่กั้นอยู่ ถ้าเรือเล็กๆ อย่างอาร์โกข้ามได้ ก็เทพเกินไปแล้ว ตุ๊กตา

หนึ่งในนั้น คือข้อสันนิษฐานที่ว่าเจสันสามารถเคยนำเรืออาร์โกของเขาเลาะรอบทวีปยุโรปมาแล้ว ในการนี้เขาผานแม่น้ำโวลก้าที่ตัดผ่านที่ราบใหญ่ของรัสเซียไปทางเหนือ สู่ทะเลแบเรนส์ที่แม้จะมีบางช่วงต้องนำเรือขึ้นบกเพื่อเปลี่ยนแม่น้ำสายอื่น บ้าง แต่ก็ช่วงสั้นๆ เท่านั้น แล้วเรือก็มุ่งลงใต้ไปๆ มาในชายฝั่งนอร์เวย์ อังกฤษ ฝรั่งเศส  เข้าสู่ช่องแคบยิบรอลต้าร์ และทเลเมดิเตอเรเนียน  ของขวัญ

เอาเถอะ จะจริงแท้อย่างไรหรือไม่จริงอย่างไร คนอื่นเขาก็ไม่สนหรอกครับ เพราะถึงไงตำนานนี้ยังอยู่คู่โลกเราเสมอมาในฐานะความน่าอัศจรรย์ของเทพนิยาย

เครดิต     http://www.tooktaall.com
อ้างถึง    http://www.gotoknow.org/blogs/posts/488063

วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ท่องเที่ยวเกาะช้าง

ท่องเที่ยวเกาะช้าง By TooktaALL


สวัสดีหลังปีใหม่ไทยครับ 2555 หลังจากที่กระผมได้เคลียงานเสร็จบ้างบางส่วน ก็รีบมาเขียนบทความ ในประสบการณ์การท่องเที่ยวต่างๆ ในทริปนี้ผมก็ได้ไปเที่ยวกับคนรุ้ใจอีกนั้นแหละ โดยเป็นการจองรีสอร์ทข้ามปีเลยทีเดียว เพราะครั้งแรกที่จองคือ ปลายปี 2554 กะไว้ว่าจะไปเที่ยวตอนปีใหม่ แต่ก็ไม่ได้ไป จึงเลื่อนมาเป็นวันสงการนต์ 13-15 เม.ย. 2555 2 วัน 1 คืน ที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง(ไม่ขอเอ่ยนามเพราะถือเป็นการโฆษณา) กับ เพื่อนร่วมชะตากรรมอีกประมาณ 50- 60 คน ที่มิได้รู้จัก
ก่อนอื่นเลย เรามาทราบถึงที่ตั้ง อาณาเขตต่างๆ ของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้างกันก่อนดีกว่า (ตุ๊กตา)
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง อยู่ทางทิศตะวันออกของประเทศไทย ทางฝั่งทะเลอ่าวไทย มีหมู่เกาะน้อยใหญ่กว่า 40 เกาะ วางเรียงตัวเรียงรายเป็นรูปยาวรี คู่ขนานไปกับชายฝั่งทะเลจังหวัดตราด เช่น เกาะช้างน้อย เกาะคลุ้ม เกาะหวาย เกาะเหลายา เกาะไม้ซี้ เกาะรัง และมีเกาะช้างเป็นเกาะที่ขนาดใหญ่ที่สุด (ขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศไทยรองจากเกาะภูเก็ตและเกาะสมุย) อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแหลมงอบ จังหวัดตราด ห่างประมาณ 8 กิโลเมตร ยาวจากเหนือลงมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 30 กิโลเมตร กว้างประมาณ 14 กิโลเมตร
ได้รับการจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 99 ตอนที่ 197 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2525 นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 45 ของประเทศไทย ครอบคลุมพื้นที่ในท้องที่ตำบลเกาะช้าง กิ่งอำเภอเกาะช้าง และตำบลเกาะหมาก กิ่งอำเภอเกาะกูด จังหวัดตราด พื้นที่ประมาณ 650 ตารางกิโลเมตร หรือ 406,250 ไร่ ทิศเหนือ จดทะเล ท้องที่ ต.บางปิด ต.คลองใหญ่ อ.แหลมงอบ จ.ตราด ทิศใต้ จดทะเล ท้องที่ ต.เกาะหมาก กิ่งอำเภอเกาะกูด จ.ตราด ทิศตะวันออก จดทะเล ท้องที่ ต.แหลมงอบ อ.แหลมงอบ จ.ตราด ทิศตะวันตก จดทะเล ท้องที่ ต.เกาะช้าง กิ่งอำเภอเกาะช้าง จ.ตราด (ตุ๊กตาหมี)
ส่วนการเดินทางละ มีทางไหนบ้าง ผมนำเสนอไว้ 3 ประเภท รองชมดูครับ
1.ทางรถยนต์ มี 3 เส้นทางจาก กรุงเทพฯ
-บางนา-ตราด (เส้นทางหลวงหมายเลข 3) ผ่านชลบุรี-ระยอง-จันทบุรี-ตราด ระยะทางประมาณ 390 กิโลเมตร
-บางนา-ชลบุรี-แกลง-จันทบุรี-ตราด เส้นทางหลวงหมายเลข 3 ผ่านชลบุรี พัทยา ระยอง ถึงอำเภอแกลงและต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 3 ผ่านจันทบุรี เข้าตัวเมืองจังหวัดตราด รวมระยะทางประมาณ 390 กิโลเมตรหรืออาจใช้เส้นทางหมายเลข 36 จากพัทยาผ่านระยอง อำเภอแกลง รวมระยะทาง 355 กิโลเมตร
-ทางหลวงพิเศษ (motor way) (ทางหลวงหมายเลข 7 ทางหลวงพิเศษกรุงเทพฯ-ชลบุรี) ที่เชื่อมต่อมาจากถนนพระราม 9 - ศรีนครินทร์ ที่ขับตรงมาจนพบกับทางหลวงหมายเลข 344 (บ้านบึง-แกลง) ถึงอำเภอแกลง และต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 3 ผ่านอำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ข้ามสะพานเวฬุ ผ่านอำเภอเขาสมิง ตรงเข้าตัวเมืองจังหวัดตราด รวมระยะทางประมาณ 315 กิโลเมตร ถ้าไม่ต้องการเข้าสู่ตัวจังหวัดตราด ท่านสามารถที่จะตรงไปยังท่าเรือเฟอร์รี่ได้ โดยเลี้ยวขวามาทางแหลมงอบได้เลย ตุ๊กตาน่ารัก


2.ทางรถโดยประจำทาง
มีทั้งรถธรรมดา และรถปรับอากาศออกจาก สถานีขนส่งสายตะวันออก (เอกมัย) ถนนสุขุมวิท รถโดยสารปรับอากาศ มีรถปรับอากาศ ชั้น 1 (ปอ.1) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง จาก สถานีขนส่งหมอชิต 2 ถนนกำแพงเพชร มีรถบริการไปจังหวัดตราดทุกวันเช่นกัน เป็นรถปรับอากาศชั้น 1
3.รถตู้ปรับอากาศ-ตราด (แหลมงอบ)-บ้านเพ-พัทยา มีรถตู้ปรับอากาศบริการจากอำเภอแหลมงอบ ตรงข้ามสำนักงาน ททท.ภาคกลาง เขต 5 (ตราด) ทุกวัน รถออกเวลาประมาณ 13.00 น.
-พัทยา-บ้านเพ-แหลมงอบ (ตราด) เวลาออกจากพัทยา 08.00 น.(พัทยา)
-กรุงเทพ-แหลมงอบ (ตราด) รถออกจากถนนข้าวสาร 08.00 น.
-แหลมงอบ-ถนนข้าวสาร รถออกจากแหลมงอบ เวลา 11.00 น.
-จันทบุรี-ตราด ออกจากบริเวณวงเวียนน้ำพุจันทบุรี และออกจากตราดบริเวณตลาดสดเทศบาลเมืองตราด ตั้งแต่แวลา 06.00-17.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.20 ชั่วโมง อัตราค่าโดยสารคนละ 60 บาท (5-6 คน ต่อ คัน)

แล้วจะข้ามจากแผ่นดินใหญ่ไปเกาะช้าง ทำอย่างไรบ้างละ ก็ไปทางเรือเฟอร์รี่ไงครับ

1.ท่าเรือ center point (039-538196)sun อยู่ห่างจากตัวเมืองตราดประมาณ 23 กิโลเมตร ก่อนถึงอ่าวธรรมชาติ ตามเส้นทางแหลมงอบ-บ้านแสนตุ้ง ไป-กลับ 06.00 - 18.00 น. ทุกชั่วโมง
sun อัตราค่าโดยสาร มีการเปลี่ยนแปลงต้องสอบถามตรงที่จ่ายตั๋ว
sun ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ขึ้นเกาะที่ท่าเรือด่านเก่า


2.ท่าเรืออนุสรณ์สถานยุทธนาวีเกาะช้าง (เรือไม้)
sun อยู่ห่างจากตัวเมืองตราดประมาณ 17 กิโลเมตร มีสองแถวบริการจาหน้าตลาดสดเทศบาล
sun ไป 07.00 - 17.00 น. ทุกชั่วโมง
sun กลับ 07.00 - 17.00 น. ทุกชั่วโมง
sun ค่าโดยสาร มีการเปลี่ยนแปลงต้องสอบถามตรงที่ขายตั๋วเอง
sun ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงขึ้นเกาะที่ท่าเรือด่านเก่า

3. ท่าเรือเกาะช้างเฟอร์รี่ (อ่าวธรรมชาติ) (039-528288-9) sun อยู่ห่างจากตัวเมืองตราดประมาณ 25 กิโลเมตร ตามเส้นทางแหลมงอบ-บ้านแสนตุ้ง เลยท่าเรือเซ็นเตอร์พร้อยท์ไปเล็กน้อย ออกจากอ่าวธรรมชาติไปขึ้นฝั่งเกาะช้างที่ท่าเรือเกาะช้างเฟอร์รี่ใกล้ๆกับท่าเรือด่านเก่า
sun ไป 07.00 - 19.00 น. ทุกชั่วโมง
sun กลับ 07.00 - 19.00 น. ทุกชั่วโมง
sun อัตราค่าโดยสาร ติดต่อเองหน้าจ่ายตั๋วเพราะมีการเปลี่ยนแปลง



ข้อมูลจาก บริษัท สยามมีดี บิสสิเน็ส ทราเวล จำกัด
เอาละครับเป็นอย่างไรบ้าง นั้นเป็นข้อมูลโดยสังเขป ต่อไปก็มาเข้าเรื่องเราเลยดีกว่า

ท่องเที่ยวเกาะช้าง By TooktaALL

เริ่มต้นเลยผมได้ออกจากบ้านในวันที่ 12 เม.ย. 2555 โดยได้คุยกับคู่หูว่าเราจะรองล่องไปทางตะวันออก ซึ่งสิ่งของ-อาหารต่างๆก็จะซื้อเตรียมไปเลย จำพวกอาหารทะเลสดต่างๆ เพราะว่ากะว่าจะพักแรมในวันที่ 12 นี้ จากนั้นวันที่ 13 เม.ย. ก็จะเดินทางข้ามทะเลเพื่อไปสู่เกาะช้างที่แสนถวิลหา
ผมก็ได้ขับรถคู่ใจไปและคนคู่กายไป ซื้ออาหารทะเลสดที่สะพานปลาที่บางแสน (บทความแรก รองหาอ่านได้นะครับ) เมื่อเตรียมสะเบียงสำหรับกลางวันและเย็นนี้พร้อมแล้วก็พร้อมออกเดินทางแล้วครับผมก็ได้ออกไปเส้นชลบุรี-บ้านบึง (เส้น344) เพื่อที่จะไป อ.แกลง จ.ระยอง เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ใกล้ที่สุด จาก ชลบุรี-จันทบุรี จากนั้นเมื่อถึงแยกแกลง ก็เลี้ยวซ้าย ไปตาม ถ.สุขุมวิท (3/AH123)
หลังจากเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ ถ.สุขุมวิทแล้วเพื่อมุ่งหน้าไป จ.จันทบุรี ขับไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว ก็ได้จอดแวะพักดื่มกาแฟ เข้าห้องน้ำกัน ตรงใกล้ๆตลาดที่หนึ่งในจังหวัดระยอง(ต้องขออภัยมิอาจจำชื่อตลาดได้) สายตาของผมนั้น ได้แลไปเห็นป้ายโฆษณาผืนใหญ่มากซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับถนนที่ผมพักอยู่ ได้มีข้อความว่า "ขอเชิญนมัสการพระราหู เพื่อขอโชค ขอลาภ รวมทั้งลอดใต้โบส์ถ เพื่อเป็นศิริมงคล ณ วัดป่าประดู่" ผมจึงเกิดความสงสัยจึงได้ขับรถตามป้ายนั้นไป ซึ่งวัดป่าประดู่ ห่างจาก ถ.สุขุมวิท ไม่ถึง 1 Km. เอง เมื่อเข้าไปก็ไปสักการะพระราหูองค์ดำ จากนั้นหลวงตาก็พาไปไหว้พระลอดโบส์ถ ซึ่งแปลกมาก เพราะโบส์ถที่สร้างยกสูงขึ้นมาแล้วทำห้องเหมือนใต้ถุนด่านล่าง

หลังจากนั้นกระผมก็ปรึกษากันว่าจะไปพักที่ไหนดีวันนี้ และเที่ยวที่ไหนดี คู่หูของกระผมก็เสนอความคิดว่า ที่ จ.จันทบุรี มีน้ำตกที่เรืองชื่ออยู่แห่งหนึ่งดังคำขวัญของ จ.จันทบุรี คือ น้ำตกพลิ้ว

ตกลงก็ได้ไปทานอาหารและพักผ่อนที่น้ำตกพลิ้ว จ.จันทบุรีกัน ซึ่ง วันนี้ คนเยอะมากๆ ขนาดยังไม่ได้เป็นวันหยุดทางราชการ น้ำตกสวย มีหลายชั้น ที่สำคัญมีปลาพวงหินอยู่เยอะไปหมด นักท่องเที่ยวก็จะซื้อถั่วฟักยาวมาให้อาหารพวกปลา
เมื่อกล่าวถึงปลาพวงหิน ชาวบ้านท้องถิ่นเขาจะเรียกว่าปลาบ้า คือเมื่อกินปลาชนิดนี้เข้าไปแล้วอยากจะกินถูกเส้นประสาทหรือพิษอะไรก็มิทราบ ทำให้ผู้ที่กินปลาเกิดอาการบ้า หรือเมาจนอาจทำให้เสียชีวิตได้ (นี่เป็นความเชื่อของชาวบ้านนะครับ ถ้าคิดกลับกัน ทางผู้เฒ่าผู้แก่ ท่านคงอยากให้อนุรักษ์ปลาชนิดนี้ไว้ในระบบนิเวศวิทยา จึงบอกต่อๆกันถึงผลที่จะเกิดเมื่อทานปลาพวงหินเข้าไป)
เมื่อกระผมและคู่ใจ ได้ทานอาหารอิ่มแล้ว แล้วพักผ่อนดูน้ำตก เล่นน้ำแล้ว ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ประมาณ 17.00 น. ได้ แต่ทว่าวันนี้ยังไม่มีที่พักเลย จึงได้เดินไปถาม เจ้าหน้าที่ ที่ดูแลน้ำตก ท่านบอกว่าที่พักเต็มหมดถึงวันที่18 เม.ย. เลย (โอโฮ อะไรจะขนาดนั้น สงการนต์คนจองเต็มขนาดนี้เลยหรือ)
จึงได้ตัดสินใจขับรถย้อนกลับทางเรียบชายหาด คือว่า จาก จ.ระยอง มาน้ำตกพลิ้ว กระผมได้ขับรถเลี้ยวมาทาง อ.ท่าใหม่ (ทางหลวงชนบท 6001) ผ่าน แหลมสิงห์ แล้วจึงไปน้ำตกพลิ้ว สองข้างทาง กระผมเห็นเด็กๆเล่นสาดน้ำสงกรานต์กันใหญ่เลย และเห็นโรงแรม รีสอร์ท เยอะแยะ จึงได้ขับรถวกกลับไปหาที่พักผ่อน สุดท้ายก็ได้จริงๆ แต่กว่าจะหาได้ ยากหน้าดู กระผมได้เช่าบังกะโล ลักษณะเป็นบ้านปลูกติดริมชายหาด ลมทะเลพัดแรงสบายๆ แต่น้ำไม่หน้าดูเท่าไหร เพราะไม่มีพื้นที่ให้เล่นน้ำ คืนนั้นผมและคู่ใจก็ทำอาหารทานกัน งัดอาหารทะเลที่เตรียมมาทำให้หมด สนุกมากๆ พร้อมกันนี้วันที่ 12 เม.ย. ยังเป็นมันคล้ายวันเกิดของมารดา จึงได้โทรศัพท์อวยพร พร้อมทั้งร้องเพลง Birthday เป็นการ Surprise อีกด้วย (เพราะเหตุหลายอย่างที่ทำให้ต้องทำงานไกลกัน จึงมิสามารถอยู่พร้อมกันได้) ลืมบอกไปใกล้ๆที่พักมีตลาดประมงอยู่ด้วย ก่อนเข้าที่พักกระผมได้ไปหาซื้อของมาเพิ่ม ปรากฏว่าได้ปูทะเลมา1ตัว น้ำหนัก 9.4 ขีด ตัวใหญ่มาก กะว่าขากลับจะซื้อไปฝากคนที่บ้าน
วันนี้พอเท่านี้ก่อนนะครับ ตอนต่อไปจะรีบลงให้เร็วที่สุด ต้องขอประทานอภัยด้วยที่ลงบทความช้าไป คราวหน้าจะได้สนุกกับการท่องเที่ยวเกาะช้างของจริงแล้ว ทั้งที่เกิดความประทับใจหลายอย่าง และเสียใจหลายเรื่อง ตุ๊กตา

ที่มา          http://www.tooktaall.com

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ตุ๊กตาครูเสส



ดินแดนปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นดินแดนถิ่นกำเนิดของ พระเยซูไครสท์นั้นถือ กันว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งคริสต์ศาสนิกชน พากันไปจาริกแสวงบุญ ตั้งแต่ต้นคริสตกาล โดยชนชาติซาราเซ็น ที่ปกครองปาเลสไตน์อยู่นั้นก็ยินดีต้อนรับ เพราะได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจจาก นักแสวงบุญเหล่านั้น ตุ๊กตาน่ารัก
หากทว่าตั้งแต่ ค.ศ. 1076 เป็นต้นมา พวกเติร์กมุสลิมได้เข้ามาเป็นใหญ่เหนือดินแดน ศักดิ์สิทธิ์นี้ และได้ปล้นฆ่านักจาริกแสวงบุญ อย่างเหี้ยมโหดรวมทั้งทำลายโบสถ์ ของชาวคริสต์เกือบหมดสิ้น
ในช่วงนี้เอง  ได้มีพระคริสเตียนรูปหนึ่งซึ่งมีนามว่า ปีเตอร์ เป็นชาวฝรั่งเศส ซึ่งชอบใช้ ชีวิตสันโดษ ได้จาริกไปยังนครเยรูซาเลม โดยที่นุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าเก่าๆปอนๆ และพำนักอาศัยอยู่ใน ถ้ำตามภูเขา ทำให้ผู้คนมีความชื่นชมศรัทธาและขนานนามให้ว่า ปีเตอร์มหาฤาษี (Peter the Hermit)  ตุ๊กตาหมี
เมื่อสาธุคุณปีเตอร์ ได้เห็นชนมุสลิม กระทำทารุณกรรมต่อชาวคริสต์ จึงคิดอ่านที่จะแก้ไข ด้วยการทำศึก ชิงเอาดินแดนแห่งพระไครสท์คืนมา ท่านจึงเดินทางกลับยุโรป และทูลถึงแผนการนี้แด่ท่านสังฆนายก เออร์บันที่ two (Urban II) ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนและ ให้ดำเนินการได้  ตุ๊กตา
เมื่อประชาชนชาวยุโรป ได้รับรู้ถึงความ โหดร้ายทารุณที่เกิดขึ้นกับ นักจาริกแสวงบุญจากการ ป่าวร้องของนักบุญปีเตอร์ ต่างก็โกรธแค้นและหลั่งไหลกันมาฝรั่งเศสจากทั่วยุโรป เพื่อสมัครไปรบแย่งชิง นครเยรูซาเลมคืนมา โดยสังฆนายกเออร์บันได้กำหนดให้ทุกคนที่ไปรบ ติดเครื่องหมายกางเขนไว้ที่ตัว กองทัพนี้จึงได้ชื่อว่า ครูเสด (Crusade) คือมาจากคำว่า (Cross) ที่หมายถึงไม้กางเขนนั่นเอง ตุ๊กตา
ไม่มีใครเลยที่จะคิดว่าสงครามครั้งนี้จะยืดเยื้อแล้ว ยาวนานเกือบ 200 ปี!
โดยมหาสงครามครูเสดครั้งแรกเกิดขึ้นในช่วง ค.ศ. 1096-1099 ชาวยุโรปที่กระหายอยากจะไปออกรบ ได้รวมพลกันมากถึง 250,000 คน แต่ทว่าส่วนใหญ่เป็นชนชั้นต่ำ มีทั้งผู้หญิงและเด็กตามไปด้วย อาวุธก็ตามแต่จะหาได้ จึงเป็นเพียงกองกำลังมหึมาที่ปราศจาก อานุภาพ ภายใต้การนำของปีเตอร์มหาฤาษี ขาดทั้งวินัยและเสบียง ต้องหากินด้วยการปล้น ในระหว่างทางล้มตายไปก็มาก จึงถูกพวกเติร์กโจมตีแตกพ่ายอย่างง่ายดาย



ต่อมาใน ค.ศ. 1096 จึงได้มีการรวบรวม อาสาสมัครที่จะออกรบขึ้นใหม่ 600,000 คน และมีนักรบที่แท้จริงกว่าในหนแรก ประกอบด้วยอัศวิน ขุนนางและ ทหารภายใต้การควบคุมของ เจ้าผู้ครองนครต่างๆในยุโรป จัดเป็นทหารชั้นดีมีอุปกรณ์ เพียบพร้อม ทั้งเสื้อเกราะ หมวกเหล็ก โล่ และอาวุธต่างๆ ครบครันเป็นทหารม้าสวมเกราะถึง one hundred,000 คน
อย่างไรก็ดี เนื่องจากมีนายหลายคนและ ปราศจาก แม่ทัพใหญ่ผู้มีอำนาจบัญชาการ สูงสุด จึงไม่มีความเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันดั่งที่กองทัพ พึงมี จึงจัดเป็นจุดอ่อนของทัพนี้
ในช่วงแรก ทัพครูเสดมีชัยตีได้เมืองต่างๆตามทาง จนกระทั่งได้ อันติอ๊อก (Antioch) เมือง หลวงของซีเรีย แต่ก็สูญเสียกำลังพลไปมาก เหลือม้าศึกเพียงแค่ two,000 ตัวเท่านั้น ครั้นแล้วจึงมุ่งตรงไปยังนครเยรูซาเลม ซึ่งขณะนั้นตกอยู่ในการครอบครองของอียิปต์ ทัพครูเสดตีเยรูซาเลมได้ในเดือนกรกฎาคมปี 1099 จับมุสลิมและยิวฆ่าเสียราว seventy,000 คน จากนั้นพวกครูเสดจึงตั้ง กอดเฟรย์แห่ง บุยอินยอง ผู้นำทัพเบลเยียม ขึ้นเป็นกษัตริย์ ปกครองเยรูซาเลม ส่วนเหล่านักรบครูเสดก็แยกย้ายกันเดินทางกลับภูมิลำเนาของตน
หลังจากสงบมาได้หลายสิบปี ก็ได้มีพวกเติร์กใหม่ซึ่งเข้มแข็ง ยกกำลังเข้ามารุกรานคุกคาม ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้อีก ชาวคริสต์ในเยรูซาเลมจึงขอความพิทักษ์ภัยไปยังยุโรป และก็สามารถระดมกำลังพลได้ถึง three hundred,000 คน แต่ก็อีกนั่นแหละ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกไร้ฝีมือทัพครูเสดภายใต้ การนำของกษัตริย์ คอนราดที่ three แห่ง เยอรมัน กับ พระเจ้าหลุยส์ที่ seven แห่งฝรั่งเศส ที่ยกไปในช่วงปี ค.ศ. 1148 หวังจะไปช่วยแต่ถูกทัพมุสลิมตีแตกพ่ายไปตั้งแต่ยังไม่ทันถึงนครเยรูซาเลม
สงครามครูเสดครั้งต่อมา จัดเป็นการศึกที่ ยิ่งใหญ่และมีตำนานต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยทางฝ่ายคริสเตียน มีนายทัพชั้นดีหลายคน อาทิ พระเจ้า ริชาร์ดใจสิงห์ (Richard the lion hearted) แห่งอังกฤษ กษัตริย์ ฟิลลิป ออกัสตัส แห่งฝรั่งเศส พระเจ้า เฟร เดอริก บาร์บารอสซา แห่งเยอรมัน
ทางฝ่ายมุสลิมก็มีขุนทัพ ซาลาดิน (Sarla din) ผู้ เกรียงไกรของเติร์ก ซึ่งสามารถรวบรวมรัฐทั้งหลายของชนเผ่า ซาราเซนให้เป็นอาณาจักรเดียวกันได้สำเร็จ และสุดท้ายก็ตีได้นครเยรูซาเลม ในปี ค.ศ. 1187 อันเป็นสาเหตุให้ฝ่ายคริสต์ต้องยกขบวนครูเสดมาแย่งคืนนั่นเอง


 
กองทัพครูเสดจากอังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมัน มารวมพลกันที่เมืองเอเคอร์ติดชายแดนซีเรีย ในปี ค.ศ. 1189 หลังจากสู้รบกับทัพที่สุลต่านซาลาดินส่งมาอยู่นานถึง twenty three เดือน ก็ตีได้เมือง เอเคอร์ในที่สุด และจับชาวมุสลิมกระทำทารุณ อย่างเหี้ยมโหด แล้วสังหารทิ้งถึง twenty 5,000 คน ด้วยแค้นที่ รบต้านทานทรหดทำให้ต้องสูญเสียทหารคริสเตียนไปมากมาย
แม้กษัตริย์ริชาร์ดใจสิงห์ จะทรงมีพลังเข้มแข็ง แต่ไม่สู้ลงรอยกับ ผู้นำของชาติอื่นๆ ทำให้เกิดความขัดแย้งกันตลอดเวลา ตรงกันข้ามกษัตริย์ริชาร์ดกลับมีความสัมพันธ์ฉันสหายกับ สุลต่านซาลาดิน ซึ่งเป็นคู่ปรับตัวฉกาจ ทั้งสองต่างยอมรับนับถือในฝีมือของกันและกัน รวมทั้งได้ มีการเจรจาออมชอมพักรบกันเป็นครั้งคราว โดยที่ทั้งสอง ต่างก็รักษาสัจจะวาจาอย่างเคร่งครัด ของขวัญ
สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง ก็คือ ความแตกต่างระหว่าง นักรบฝ่ายคริสเตียนกับนักรบมุสลิม โดยนักรบจากยุโรปมักมีร่างกายใหญ่โตบึกบึน แต่งกายออกศึกในชุดหุ้มเกราะอันหนักอึ้ง แม้กระทั่งม้าศึกก็มีเกราะหุ้มกำบัง อาวุธที่ใช้ก็เป็น ดาบและโล่ที่มีน้ำหนัก ส่วนทางฝ่ายมุสลิมจะมีรูปร่างเล็กกว่า สวมเสื้อหนังและใช้ดาบซาระเซนรูปโค้งดั่งเคียวและ คมกริบ นักรบมุสลิมจะรบอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว ในขณะที่นักรบครูเสดอุ้ยอ้ายเทอะทะ แต่มีอาวุธที่หนักหน่วงกว่า และมีอุปกรณ์ป้องกันตนเหนือกว่า
มีทั้งข้อดีและทั้งข้อด้อยที่ไม่ได้เปรียบเสีย  เปรียบกันมากนัก จึงเป็นการรบที่น่าดูอย่างยิ่ง
ท้ายที่สุดในปี ค.ศ. 1192 สหายศึกทั้งสองคือริชาร์ดใจสิงห์ กับซาลาดิน ก็กินกันไม่ลง และได้ทำสัญญาสงบศึกต่อกัน แต่ หลังจากสัญญาสิ้นสุดลงก็ได้มีสงครามครูเสดเล็กๆ น้อยๆเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง ของขวัญ
สงครามครูเสดครั้งสุดท้าย เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1229 ซึ่งเป็นการนำทัพของ พระเจ้าเฟรเดอริกที่ two แห่งเยอรมัน ซึ่งในระหว่างนั้นเหล่ามุสลิมกำลังเกิดความขัดแย้งระส่ำระสาย กองทัพคริสเตียนจึงได้ชัยชนะ และยึดเอาเมืองต่างๆในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไว้ได้ รวมทั้งเยรูซาเลม หลัง จากปกครองอยู่ 10 ปี พวกอียิปต์ก็กลับเข้ามาตีเมืองเยรูซาเลมคืนในปี ค.ศ. 1244 และขับไล่นักรบครูเสดออกไปทีละเมืองจนหมดในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1291และเป็นการยุติสงครามครูเสดที่ซึ่งยาวนานถึง 200 ปี โดยสิ้นเชิง


ที่มา          http://gigadeen.exteen.com/
เครดิต       http://www.tooktaall.com/
อ้างถึง      http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=thaidollsall&group=7

วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ตุ๊กตา Holy Cross

กางเขนศักดิ์สิทธิ์ (The Holy Cross ) ตุ๊กตา



หลายคนคงคุ้นเคย กับคำว่า “จอกศักดิ์สิทธิ์” - THE HOLY GRAIL ซึ่งเป็นจอก ที่พระเยซูใช้ในระหว่างอาหารมื้อสุดท้ายของพระองค์ท่าน และผู้คนทั่วโลก พากันตามล่าหาจอกนี้มานานนับพันปีมาแล้ว กระทั่งแม้แต่ในนิยายที่ฮือฮาไปทั่วโลก อย่าง
“รหัส ลับดาวินซี (THE DAVINCI CODE)” ก็ยังเป็นเรื่อง ฆาตกรรมที่ซ่อนเงื่อนที่เกี่ยวกับเรื่องราวจอกศักดิ์สิทธิ์ เช่นกัน Dolla
ตุ๊กตาน่ารักสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างยิ่ง อีกอย่างหนึ่งของพระเยซูคริสต์ คือ ไม้กางเขนที่ตรึงพระองค์จนสิ้นชีพนั้น บัดนี้อยู่ที่ไหน มีใครเคยคิดตามล่าหาไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ (THE HOLY CROSS)
หรือหลายคนเรียกว่า ไม้กางเขนจริง (TRUE CROSS) บ้าง   หรือไม่ มาติดตามกันต่อไป
              
อันแท้ที่จริงเครื่องหมายกางเขน (CROSS) นั้น มีอยู่ก่อนสมัยศาสนาคริสเตียนแล้ว
มีหลักฐานคือ ภาพเขียนบนแผ่นหินแบนๆ ในถ้ำแห่งหนึ่งที่ไพรีนีส์ของฝรั่งเศส ซึ่งมีรูปเรขาต่างๆ รวมทั้งรูปมนุษย์ และสัญลักษณ์กางเขน ซึ่งภาพเหล่านี้ ประเมินแล้วเขียนขึ้นตั้งแต่เมื่อ ten,000 ปีก่อน ค.ศ.
ตุ๊กตาหมี
รูป ไม้กางเขนอาจจะบ่งบอกถึงการชี้ทิศทั้งสี่และ ตรงกลางก็คือ “โลก” นั่นเอง แต่บางคนสันนิษฐานว่า เป็นซี่ล้อ และล้อนั้นเป็นวงกลม หมายถึง พระอาทิตย์ ซึ่งชนคริสเตียนรุ่นแรกๆ นั้น ถือกันว่า องค์พระไครสท์  (พระคริสต์) มีความเชื่อมโยงกับพระอาทิตย์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่กว่าทั้งมวล แขนทั้งสองกางหมุนตลอดความกว้างและยาว ส่วนขาทางตั้งก็ครอบคลุมทั้งความสูงสุดยอด ตลอดจนความลึกดำดิ่งถึงบาดาล (ของขวัญวันเกิด)
เครื่องหมายสวัสดิกะต่างๆ  ก็เป็นรูปกางเขนแบบหนึ่งที่พวก นาซีนำมาใช้ (ของขวัญ ตุ๊กตา)

แต่ ที่สำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ กางเขนลาติน (CRUXIMMISSA) ที่ มีขาล่างยาวกว่าอีก 3 แขน
และที่บรรดาคริสต์ศาสนิกชน ใช้มือทำเครื่องหมายบนหน้าผากตนเองและ หน้าอกตนเอง  ในเวลาอธิษฐาน สิ่งใดๆ นั่นเอง evy
หาก ทว่าก่อนที่จะมาเป็นสัญลักษณ์แห่งการสักการะต่างๆนั้น ไม้กางเขนได้ถูกใช้สำหรับ เป็นเครื่องมือสำหรับประหารนักโทษ
และไม่ใช่นักโทษธรรมดาๆ หากเป็นอาชญากรที่ทำความผิดร้ายแรงอย่างมาก หรือเป็นนักโทษชั้นต่ำโดยเฉพาะ พวกทาส นักโทษจะถูกมัด หรือตอกตะปูตรึงมือทั้งสอง และเท้าไว้ แล้วปล่อยให้ตากแดดตากลมตายไปอย่างสุดแสนทรมาน
ที นี้ ก็มาถึงเรื่องการตรึงกางเขนพระเยซูเจ้า หรือที่เรียกกันว่า CRUCIFIXION



ในปี พ.ศ. 543 ทารกหนึ่ง ได้ถือกำเนิดในหมู่บ้านเบธเลเฮม แขวงกรุงเยรูซาเลม ประเทศปาเลสไตน์ (อิสราเอลปัจจุบัน) ผู้เป็นมารดามีนามว่า มาเรีย เมื่อเติบโตขึ้นในเมืองนาซาเรธ หนุ่มจีซัส (JESUS) หรือ พระเยซู มีความเฉลียวฉลาดมาก ได้เที่ยวอบรมสั่งสอนผู้คน ให้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่อ้างว่าได้รับมาจากพระเจ้า  โดย พระเจ้าได้ทรงมอบหมายให้พระองค์มาเป็นผู้แทน ในการปลดเปลื้องบาปเคราะห์ ของมนุษย์ จึงทรงได้นามว่า ไครสท์ (CHRIST=ผู้ เปลื้องทุกข์)
เมื่อ ผู้คนจำนวนมากหันมานับถือคำสอนของพระเยซู ทำให้ชาวยิวที่เคร่งครัดในศาสนาเดิม มีความโกรธแค้น ตรงนี้ต้องเข้าใจว่า แม้จะมีพระเจ้า (GOD) องค์เดียวกัน แต่ยิวแท้จะนับถือเฉพาะพระเจ้า ไม่ยอมรับผู้อื่นที่มาแอบอ้างว่าเป็นพระบุตร  ยิวจึงมิใช่คริสเตียน (ที่นับถือพระเยซู) ยิวไปฟ้องผู้ปกครองเยรูซาเลม ซึ่งเป็นโรมันให้กำจัดพระเยซู พอดีกับโรมันกำลังหวั่นเกรงการก่อตัวชุมนุมของเหล่าสาวกพระเยซู จึงนำตัวพระองค์มาตรึงไม้กางเขนในปี พ.ศ. 576 จน สิ้นชีพ รวมอายุเพียงแค่ 33 ปี
ตุ๊กตาหมี
หลัง สิ้นพระชนม์ โจเซฟ แห่งอาริมาเธีย ได้ร้องขอต่อ ปอนติอุส ไพเลท ผู้ปกครอง จากโรม ในการนำศพลงมาฝัง เชื่อกันว่าเมื่อฝังองค์เยซูแล้ว โจเซฟก็ได้นำ กางเขนกับแผ่นจารึกฝังลงไปด้วย

แผ่น จารึกนี้เรียกกันว่า ไตตุลุส (TITULUS) เป็นแผ่นไม้ ที่มีตัวอักษรซึ่ง ไพเลท สั่งให้เขียนไว้ว่า “จีซัส แห่งนาซาเรธ กษัตริย์แห่งยิว”
แล้วนำไปติดกับไม้ กางเขนที่ตรึงองค์เยซู อักษรจารึกดังกล่าวนี้ เป็นการเยาะหยัน ที่พระเยซูทรงเป็นประหนึ่งผู้นำของชาวยิว โดยเขียนไว้เป็น 3 แถว 3 ภาษา ฮีบรู, กรีก และละติน ที่น่าประหลาดก็คือ แถวที่ 2 กับ 3 นั้น
เขียนจากขวาไปซ้ายแบบเดียวกับที่อ่านจากกระจกเงา การเขียนลักษณะนี้แพร่หลายอยู่ในอดีตจนสิ้นคริสต์ศตวรรษที่ 1 จึงหมดไป
จุด ที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนและ ฝังพระศพนั้น อยู่ทางเหนือของเนินเขาไซออน ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโบสถ์แห่งสุสานศักดิ์สิทธิ์ (CHURCH OF THE HOLY SEPULCHER)
ลุล่วงมาในปี ค.ศ. 350 เชื่อกันว่าได้มีการขุดนำกางเขนศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา โดยนักบุญ ไซริล บิชอปแห่งเยรูซาเลม กล่าวว่าไม้กางเขนถูกแบ่งออกเป็นหลายชิ้น และแจกจ่ายไปทั่ว
นอก จากนี้ ได้มีบันทึกของ นักประวัติศาสตร์ อิตาเลียน ในศตวรรษเดียวกันนี้ระบุว่า ในปี ค.ศ. 326 พระนาง เฮเลนา ซึ่งเป็นพระราชมารดาของ จักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งกรุงโรม ได้เสด็จมาเยือนกรุงเยรูซาเลม และได้บัญชาให้ขุดค้นหา ไม้กางเขนในบริเวณสุสาน พระนางได้พบกางเขน 3 อัน ตะปูที่ใช้ตรึงนักโทษ และแผ่นจารึกที่มีอักษร “นี่ คือกษัตริย์แห่งยิว”
ตุ๊กตาน่ารักทั้ง นี้ เพราะมีนักโทษอีก 2 คน ที่ถูกตรึงกางเขนในวันเวลา เดียวกันกับพระเยซู แล้วทำอย่างไรจึงจะรู้ว่ากางเขน อันไหนเป็นอันจริง
วิธี การนั้นไม่ยาก แต่น่าอัศจรรย์ยิ่ง Dolls
นั่น คือ นำกางเขนเข้าไปให้สตรีคนหนึ่ง ที่กำลังป่วยหนักใกล้สิ้นใจได้สัมผัส กางเขนแท้สามารถดลบันดาลให้เธอหายป่วยได้เป็นปลิดทิ้ง! ตุ๊กตาน่ารัก

แผ่นจารึก และกางเขนที่พระนางเฮเลนานำกลับมากรุงโรมนั้น ได้เก็บบูชาไว้ในโบสถ์ ซานตาโกรเซ (CHURCH OF SANTA GROCE) ใกล้ กับวังเฮเลนา โดยไม้กางเขนได้ถูกแบ่ง ออกเป็นชิ้นๆ
และแจกจ่ายไปทั่วโลกเพื่อเผยแพร่ ศรัทธาแก่คริสต์ศาสนิกชนทั้งหลาย ซึ่งก็สอดคล้องกับที่ท่านบิชอปไซริลได้กล่าวไว้
สำหรับ ตะปูหรือหมุดที่ใช้ตรึงองค์พระเยซูนั้น ไม่เป็นที่ประจักษ์ชัดว่ามีอยู่ 3 หรือ four ดอก แต่น่าจะเป็น 3 ดอก ที่ใช้ตรึง 2 มือ กับ 1 เท้า (วางทับกัน) ซึ่งชาวคริสต์ เปรียบเสมือน “สามองค์ (TRINITY)” คือ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ
ว่า กันว่า ตะปูดอกหนึ่งถูกนำไปประดับ ในวงกลมหน้ามงกุฎเหล็กแห่งลอมบาร์ดี้ ณ เมืองมอนซ่า 
ตะปู ศักดิ์สิทธิ์อีกดอกหนึ่ง มีจารึกใน ประวัติศาสตร์ว่า ในคราวที่จักรพรรดิคอนสแตนติน ทรงไปเยือนกรุงคอนสแตนติโนเปิล ที่พระองค์ตั้งให้เป็นนครหลวงแห่งพระราชอาณาจักรนั้น
พระองค์ได้ทรงอาชาที่มีเครื่องผูกหัวที่ประดับด้วยตะปูศักดิ์สิทธิ์ เพื่อประกาศให้โลก
ได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของศาสนาคริสเตียน ซึ่งพระองค์ได้นำมาให้อาณาจักรโรมันยอมรับนับถือ แทนที่เทพเจ้าทั้งหลายที่โรมันเคารพบูชามาแต่เดิม (อาทิ จูปิเตอร์, อปอลโล, เนปจูน ฯลฯ)
ชิ้น กางเขนส่วนหนึ่ง พระนางเฮเลนาได้ทรงมอบคืนแก่ เยรูซาเลม รวมทั้งบางส่วนของแผ่นจารึกไตตุลุสด้วย และสองสิ่งนี้ ก็กลายเป็นที่ดึงดูดให้ศาสนิกชนคริสเตียนมาจาริกแสวงบุญที่นครนี้
เมื่อ นักรบครูเสดรุ่นแรกยกทัพมาถึงเยรูซาเลมในศตวรรษที่ eleven พวกเขานำเครื่องหมายกางเขนเป็นสัญลักษณ์ในการออกรบกับทัพมุสลิม ปรปักษ์ ตลอดแนวหุบเขาจอร์แดน นักรบครูเสดได้สร้างป้อมค่ายเป็นเครือข่าย และได้นำชิ้นส่วนกางเขนศักดิ์สิทธิ์มาไว้ที่ป้อมค่ายเบลโวเร่ เหนือทะเลสาบกาลิลี ได้เกิดการรบครั้ง มโหฬารขึ้นในปี ค.ศ. 1187 กองทัพของ ซาลาดิน ขุนศึกผู้เข้มแข็งแห่งมุสลิมได้บดขยี้ทัพคริสเตียนยับเยิน ท่านบิชอปแห่งเอเคอร์ ซึ่งนำชิ้นส่วนกางเขนออกรบด้วย ได้เกิดเพลิงไหม้ในการรบ และชิ้นส่วนกางเขนศักดิ์สิทธิ์ก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปในการศึกนี้
ชิ้น ส่วนแผ่นไตตุลุสที่พระนางเฮเลนานำมาที่โรม ได้ถูกเก็บรักษาไว้เป็นความลับจนแทบไม่มีผู้ใดได้รู้ว่าอยู่ที่ใดในโบสถ์ซาน ตาโกรเซ ถึง ค.ศ. 1492 จึงพบว่าที่แท้อยู่ภายใต้ภาพ ปูนเปียก ก่อให้เกิดความตื่นเต้นแก่ชาวคริสต์เป็นอย่างยิ่ง และมหาประติมากร มิเกลันเจโล (หรือที่เราเรียกผิดๆ ว่า ไมเคิล แองเจโล นั่นแหละ) ก็ได้ศึกษาแผ่นไตตุลุสนี้ด้วยตนเอง และสลักไม้ เป็นรูปการตรึงกางเขนพระเยซู พร้อมด้วยแผ่นจารึกที่เขียนจากขวาไปซ้ายด้วย
นั่นก็เป็นเรื่องราวหรือ ตำนานที่บอกเล่ากันต่อๆ มา เมื่อกาลเวลาผ่านพ้นไปกว่าสองพันปี สถานที่อันเป็นจุดกำเนิดเหตุการณ์ก็ได้ถูกทับถม หรือสูญหายไป หลายแห่งมีการก่อสร้างทับหลายซับ หลายซ้อน จนเราไม่อาจรู้ได้แน่ว่า วัตถุโบราณที่อ้าง ว่าศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นของแท้ หรือของเทียมกันแน่
ปัจจุบันมีสถานศักดิ์สิทธิ์มากมาย หลายร้อยแห่ง ที่อ้างว่าเป็นที่ประดิษฐานของชิ้นส่วน ไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นสิ่งทำเทียม แม้กระทั่งชิ้นส่วนไม้กางเขนและแผ่น จารึกที่เก็บรักษาไว้ในโบสถ์แห่งซานตาโกรเซ, กรุง โรม เราจะเชื่อแน่ได้หรือไม่ว่าเป็นของจริง เพราะถูกเก็บรักษาไว้อย่างเข้มงวด กล่าวคือในช่วงเวลา 600 ปีหลังนี้ ชิ้นส่วนแผ่นไม้โบราณที่มี อักษรเลือนรางนี้ ถูกนำออกจากกล่องเพียงแค่ four ครั้ง โดยทางวาติกันได้ปฏิเสธเด็ดขาด ไม่ยอมให้มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เช่น การทดสอบรังสีคาร์บอนเพื่อหาอายุที่แท้จริงของเนื้อไม้ ตุ๊กตา
ปล่อยให้เป็นที่ ศรัทธาเลื่อมใสต่อไปนานๆ ไม่ดีกว่าหรือ เพราะทุกวันนี้เราก็หาที่พึ่งพิง ทางใจกันได้ยากเย็นอยู่แล้วนี่นา

ที่มา      http://gigadeen.exteen.com/20100606/the-holy-cross
เครดิต   http://www.tooktaall.com/
อ้างถึง   http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=thaidollsall&group=6